นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวตามหรือไม่เป็นส่วนที่ต้องติดตาม ทั้งความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจต่างประเทศทั้งในสหรัฐและยุโรป ส่วนนโยบายของรัฐบาลจะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากน้อยเพียงใด คงต้องดูขอบเขตเวลาของการใช้นโยบายจึงจะสามารถประเมินผลได้
ในส่วนของเงินเฟ้อนั้น ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าวว่า ยังมีแรงกดดันใน 3 ด้านทั้งเรื่องของอุปทานจากราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อุปสงค์ในประเทศที่ยังขยายตัวต่อเนื่อง และอุปสงค์ต่างประเทศจากการขยายตัวของการส่งออก ตามการเติบโตของประเทศในภูมิภาคเอเชีย และการคาดการณ์เงินเฟ้อของผู้ประกอบการและผู้บริโภคในระยะ 3-6 เดือน ซี่งมีผลต่อการตั้งราคาสินค้าของผู้ประกอบการตามคาดการณ์ต้นทุนที่สูงขึ้นและผู้บริโภคจะมีการบริโภคก่อน หากคิดว่าเงินเฟ้อจะสูงขึ้นในอนาคต ซึ่งจากการสำรวจข้อมูลยังพบว่า ตอนนี้ผู้บริโภคและภาคเอกชนยังมองแนวโน้มเงินเฟ้อที่จะสูงขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อการตั้งราคาและการบริโภค
"แรงกดดันจากเงินเฟ้อ 3 ด้านต้องระมัดระวัง และบางทีคนมองว่าการขึ้นดอกเบี้ยเป็นต้นทุนการทำธุรกิจ แต่อีกทาง หากปล่อยให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ซึ่งโดยตัวของมันเองจะทำให้ดอกเบี้ยสูงขึ้นตาม เพราะผู้ออม ผู้ซื้อพันธบัตรไม่อยากให้ดอกเบี้ยต่ำกว่าเงินเฟ้อ จึงเป็นตรรกะที่สวนกลับ เพราะเมื่อเงินเฟ้อสูงขึ้นคนที่ออมก็จะไม่ลงทุน ดังนั้นเราทำเพื่อป้องกันไม่ให้ดอกเบี้ยระยะยาวสูงขึ้น และจะเป็นปัญหาให้ต้นทุนสูงขึ้น" ผู้ว่าธปท. กล่าว
นายประสาร ยืนยันว่า ดอกเบี้ยที่แท้จริงยังติดลบ ดังนั้นหากปล่อยให้ทิ้งไว้นานขณะที่เศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ภาวะปกติ จะทำให้เศรษฐกิจขาดความสมดุลได้ ซึ่ง ธปท.พยายามติดตามแรงกดดันและจะพยายามดูแลไม่ให้เงินเฟ้อแต่ละไตรมาสเกินกรอบเป้าหมายที่ตั้งไว้