น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะประกอบด้วยบุคคลสำคัญ เช่น นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงาน ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางออกจากท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6 ไปยังท่าอากาศยานวัดไต สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีรัฐมนตรีเกียรติยศ รัฐมนตรีรองหัวหน้าห้องว่าการรัฐบาลลาว รองเจ้าครองนครหลวงเวียงจันทน์ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของโลกให้การต้อนรับ
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ยืนยันถึงความต่อเนื่องของนโยบายและความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะส่งเสริมและเพิ่มพูนความสัมพันธ์และความร่วมมือกับลาว ซึ่งไทยเองถือว่า "ความมั่งคั่งของลาว คือ ความมั่งคั่งของไทย" โดยไทยจะสนับสนุนกลไกความร่วมมือไทย-ลาวที่มีอยู่ เช่น คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือ (JC) ไทย-ลาว
ขณะที่ทางด้านลาวประสงค์ให้ไทยสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นถึงความสำคัญ เนื่องจาก ไทย-ลาว เป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญที่สามารถช่วยขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ ซึ่งไทยจะให้ความช่วยเหลือด้านความร่วมมือเพื่อการพัฒนาและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องที่จะร่วมกันแก้ไขปัญหาต่างๆ บริเวณชายแดน เช่น การค้ายาเสพติด และการลักลอบขนสินค้าข้ามแดน
นอกจากนี้ ยังมีการหารือในประเด็นความร่วมมืออื่นๆ เช่น การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคประชาชน และการส่งเสริมให้เอกชนไทยเข้าไปลงทุนในลาวมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลเองมีนโยบายส่งเสริมให้ภาคเอกชนไทยมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อผลประโยชน์ที่ยั่งยืนของทั้งสองประเทศ โดยความร่วมมือด้านพลังงาน นายกรัฐมนตรีได้ยืนยันถึงความร่วมมือด้านการรับซื้อไฟฟ้าจากลาวจำนวน 7,000 เมกะวัตต์ ตามบันทึกความเข้าใจที่ได้มีการลงนามไปแล้ว
ในการเยือนครั้งนี้ รัฐบาลไทยได้มอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยแก่รัฐบาลลาวจำนวน 2.5 ล้านบาท และได้ถือโอกาสนี้เชิญนายกรัฐมนตรีทองสิง ทำมะวง เยือนไทย เพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ไทยและลาวจะเน้นความสัมพันธ์แบบมองไปข้างหน้า เพื่อร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมอาเซียนต่อไป