กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดศูนย์บริการข้อมูลประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี) เพื่อให้คำแนะนำแก่ภาคธุรกิจและประชาชนในการปรับตัวรับมือกับการเปิดเสรีในปี 58 โดยภาครัฐพร้อมส่งเสริมการเรียนภาษาต่างประเทศเพื่อยกระดับมาตรฐานเอสเอ็มอีให้สามารถแข่งขันในเวทีโลก มั่นใจหลังเปิดเออีซีจะช่วยดันยอดส่งออกโตได้อีก 20-30%
"การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายของผู้ประกอบการ ดังนั้นการจัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จะช่วยสร้างประโยชน์ในการให้ความรู้ความเข้าให้กับทุกภาคส่วนได้ใช้โอกาสจากการเป็นเออีซีได้มีประสิทธิภาพสูงสุด" นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ กล่าว
ทั้งนี้ รัฐบาลเตรียมเข้าไปดูแลภาคธุรกิจ โดยเฉพาะเอสเอ็มอีอย่างเต็มที่เพื่อให้ปรับตัวรองรับการเปิดเออีซี โดยมุ่งพัฒนามาตรฐานธุรกิจให้เป็นสากล พัฒนาบุคลากรมีความรู้ภาษาต่างประเทศ สร้างความเชื่อมโยงหาพันธมิตรในอาเซียน และผลักดันการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ตลอดจนสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนา ซึ่งเชื่อว่าหลังเปิดเออีซีในปี 58 จะทำให้ยอดการส่งออกสินค้าไทยภาพรวมโตไม่ต่ำกว่า 20-30%
โดยหลังการเปิดเสรีแล้วจะทำให้มีการลดภาษีสินค้าเหลือ 0-5% และยังมีการเคลื่อนย้ายเงินทุนและแรงงานฝีมือในอาเซียนอย่างเสรี ก่อให้เกิดตลาดการค้าขนาดใหญ่มีประชากรรวมกัน 590 ล้านคน และยังกระตุ้นให้เกิดการลงทุนเพื่อใช้ทรัพยากรในการผลิตภายในภูมิภาคมากยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดการขยายตัวของตลาดการนำเข้าส่งออกและดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศไปพร้อมๆ กัน
ด้านนางศรีรัตน์ รัษฐปานะ อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ได้เปิดศูนย์บริการข้อมูลประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่บริเวณชั้น 3 กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ หรือสอบถามโทร 02-507-7209-11 เพื่อให้บริการข้อมูล และคำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการ ประชาชนทั่วไป เกี่ยวกับการเข้าสู่เออีซีในปี 58 รวมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจในการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าและการลงทุนแก่ภาคธุรกิจไทย