นายวีระพล จิรประดิษฐกุล อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า สถานการณ์การใช้เชื้อเพลิงในเดือน ส.ค.54 หลังรัฐบาลปรับลดการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงส่งผลให้ยอดการใช้น้ำมันเบนซิน 91 และ 95 ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่การใช้แก๊สโซฮอล์ 91 และ 95 ปรับตัวลดลง ส่วนแก๊สโซฮอล์ E20 และ E85 ไม่ได้รับผลกระทบ การใช้ยังคงอยู่ที่ 0.7 ล้านลิตรต่อวัน และ 0.029 ล้านลิตรต่อวันตามละดับ โดยการใช้น้ำมันในกลุ่มเบนซินเพิ่มขึ้น 4% อยู่ที่ 20.5 ล้านลิตรต่อวัน
"เบนซิน 91, 95 การใช้เพิ่มขึ้น 19% จาก 7.2 ล้านลิตรต่อวัน เป็น 8.6 ล้านลิตรต่อวัน, แก๊สโซฮอล์ 91, 95 การใช้ลดลง 6% จาก 11.8 ล้านลิตรต่อวัน เหลือ 11.2 ล้านลิตรต่อวัน" นายวีระพล กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 26 ส.ค.54 รัฐบาลสั่งปรับลดการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากน้ำมันเบนซิน 91, 95 และดีเซลลงลิตรละ 7.17 บาท, 8.02 บาท และ 3 บาทตามลำดับ โดยปัจจุบันราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91, 95 กับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91, 95 มีส่วนต่างเพิ่มขึ้นจากเดิม 0.23-2.28 บาทต่อลิตร เป็น 3.09-3.95 บาทต่อลิตร ทำให้การใช้น้ำมันเบนซิน 91, 95 ในเดือน ก.ย.54(1-13 ก.ย.) มีการใช้ลดลงอยู่ที่ 10 ล้านลิตรต่อวัน หลังจากปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 15 ล้านลิตรต่อวัน ในช่วงก่อนสิ้นเดือน ส.ค.54
การใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 49.3 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อน ซึ่งเป็นปรับเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ส่วนหนึ่งเป็นผลจากพายุ "นกเต็น" ในช่วงต้นเดือนและร่องมรสุมพาดผ่านตลอดเดือนส่งผลให้เกิดฝนฟ้าคะนองและหลายพื้นที่ทั่วประเทศประสบภัยน้ำท่วม ประกอบกับราคาปรับลดลงไม่มากนัก ขณะที่การใช้ NGV อยู่ที่ 6.9 ล้านกิโลกรัมต่อวัน เพิ่มขึ้น 2.4% โดย ณ สิ้นเดือน ส.ค.54 มีรถยนต์ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ NGV แล้ว 283,431 คัน และมีสถานีบริการทั้งหมด 421 แห่ง
ส่วนการใช้ LPG เพิ่มขึ้น 1.2% จาก 562,600 ตันต่อเดือน หรือ 18,200 ตันต่อวัน มาอยู่ที่ 569,500 ตันต่อเดือน หรือ 18,370 ตันต่อวัน โดยเป็นผลมาจากการใช้ในภาคครัวเรือน 238,400 ตันต่อเดือน หรือ 7,700 ตันต่อวัน เพิ่มขึ้น 5.6% และภาคขนส่ง 89,300 ตันต่อเดือน หรือ 2,900 ตันต่อวัน เพิ่มขึ้น 2.1% ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมและปิโตรเคมีลดลง 3.4% และ 2.8% ตามลำดับ ทั้งนี้การใช้ LPG ในภาคอุตสาหกรรมมีการปรับตัวลดลงต่อเนื่องหลังจากรัฐบาลประกาศปรับขึ้นราคาขายปลีก LPG ในภาคอุตสาหกรรมเป็นไตรมาสละ 3 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่เมื่อวันที่ 19 ก.ค.54 ซึ่งในเดือน ส.ค.54 มีการนำเข้า LPG จำนวน 159,600 ตัน โดยกองทุนจ่ายชดเชยอยู่ที่ประมาณ 2,800 ล้านบาท
สำหรับการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงมีปริมาณรวมทั้งสิ้น 971,000 บาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 9% และมูลค่าการนำเข้า 102,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% แบ่งเป็น การนำเข้าน้ำมันดิบ 899,000 บาร์เรลต่อวัน มูลค่านำเข้า 96,000 ล้านบาท และน้ำมันสำเร็จรูป 71,000 บาร์เรลต่อวัน มูลค่านำเข้า 5,600 ล้านบาท ส่วนการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปมีปริมาณ 282,000 บาร์เรลต่อวัน เป็นมูลค่าส่งออก 31,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% และ 22% ตามลำดับ
ทั้งนี้ส่งผลให้การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในช่วง 8 เดือนแรก(ม.ค.-ส.ค.)ของปี 2554 พบว่าการใช้น้ำมันเบนซิน 91 และ 95 ปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การใช้พลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นทุกชนิด ซึ่งเป็นผลจากในปี 2554 ราคาน้ำมันได้ปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 3-6 บาทต่อลิตร ทำให้ประชาชนหันไปใช้พลังงานทดแทน LPG และ NGV เพิ่มขึ้น ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากรัฐบาลตรึงราคาอยู่ที่ระดับ 29.99 บาทต่อลิตร
โดยเบนซิน 91, 95 มีการใช้ลดลง 5% จาก 8.3 ล้านลิตรต่อวัน เหลือ 7.9 ล้านลิตรต่อวัน, แก๊สโซฮอล์มีการใช้เพิ่มขึ้น 5% จาก 11.9 ล้านลิตรต่อวัน เป็น 12.5 ล้านลิตรต่อวัน, ดีเซลหมุนเร็วมีการใช้เพิ่มขึ้น 4% จาก 49.9 ล้านลิตรต่อวัน เป็น 51.6 ล้านลิตรต่อวัน, NGV มีการใช้เพิ่มขึ้น 35% จาก 4.8 ล้านกิโลกรัมต่อวัน เป็น 6.5 ล้านกิโลกรัมต่อวัน
ส่วนการใช้ LPG เพิ่มขึ้นถึง 23.5% จาก 440,000 ตันต่อเดือน หรือ 14,500 ตันต่อวัน มาอยู่ที่ 543,000 ตันต่อเดือน หรือ 17,900 ตันต่อวัน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของทุกภาคการใช้ โดยภาคปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นถึง 52% ตามการขยายตัวของธุรกิจปิโตรเคมี ส่วนภาคขนส่งเพิ่มขึ้น 37% ภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้น 10% ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเพียง 1%
สำหรับการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยรวมในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2554 อยู่ที่ 871,000 บาร์เรลต่อวัน ลดลง 1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มูลค่านำเข้า 701,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 30 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แบ่งเป็น การนำเข้าน้ำมันดิบ 817,000 บาร์เรลต่อวัน มูลค่า 667,000 ล้านบาท น้ำมันสำเร็จรูป 54,000 บาร์เรลต่อวัน มูลค่า 34,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการนำเข้า LPG เฉลี่ย 123,000 ตันต่อเดือน มูลค่ารวม 27,800 ล้านบาท และกองทุนจ่ายชดเชยรวม 18,100 ล้านบาท ส่วนปริมาณการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ที่ 182,000 บาร์เรลต่อวัน ลดลง 6% คิดเป็นมูลค่า 154,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24%
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกได้ปรับตัวลดลงมากในช่วงต้นเดือน ส.ค.ที่ผ่านมาจนถึงต้นเดือน ก.ย. ราคาน้ำมันดิบมีความผันผวนและปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากเป็นช่วงพายุเฮอริเคนพัดผ่านประเทศสหรัฐอเมริกาและอ่าวเม็กซิโก อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาน้ำมันยังคงมีแนวโน้มลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจในภาคการผลิตของทั้งสหรัฐอเมริกา จีน และยุโรป และปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป ทั้งนี้ EIA ได้คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ WTI ในเดือน ก.ย. โดยรวมอยู่ที่ 89 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และเฉลี่ยในไตรมาสที่ 3 นี้ จะอยู่ที่ระดับ 90.88 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และคาดว่าในช่วงเริ่มต้นไตรมาสที่ 4 ราคาจะเพิ่มขึ้นเป็น 91 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว
และผลจากการที่รัฐบาลประกาศปรับลดการเก็บเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ทางกรมธุรกิจพลังงานได้ดำเนินการตรวจวัดปริมาณน้ำมันคงเหลือ ณ คลังน้ำมัน ของผู้ค้าน้ำมันและสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ โดยจากการรวบรวมผลการตรวจวัดในเบื้องต้น พบว่าสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศมีน้ำมันเบนซิน 91 คงเหลือประมาณ 38,415 ล้านลิตร น้ำมันเบนซิน 95 มีปริมาณคงเหลือประมาณ 1,710 ล้านลิตร น้ำมันดีเซลมีปริมาณคงเหลือประมาณ 129,658 ล้านลิตร รวมจำนวนเงินที่ต้องจ่ายชดเชยประมาณ 650 ล้านบาท
สำหรับการตรวจวัดปริมาณน้ำมันคงเหลือของผู้ค้าน้ำมันทั้ง 17 แห่งพบว่า น้ำมันเบนซิน 91 มีปริมาณคงเหลือประมาณ 108,889 ล้านลิตร น้ำมันเบนซิน 95 มีปริมาณคงเหลือประมาณ 5,373 ล้านลิตร และกลุ่มน้ำมันดีเซลมีปริมาณคงเหลือประมาณ 814,495 ล้าน ลิตร ซึ่งจำนวนเงินที่ต้องจ่ายชดเชยประมาณ 3,100 ล้านบาท โดยหากรวมจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายชดเชยแก่ผู้ค้าน้ำมันและสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ เป็นเงินประมาณ 3,800 ล้านบาท