ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศใช้มาตรการ Operation Twist ซึ่งเป็นมาตรการผ่อนคลายทางการเงินแบบใหม่ เพื่อเป้าหมายที่จะกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ แต่นักเศรษฐศาสตร์มองว่า สำหรับประเทศที่เผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างเชื่องช้ามาเป็นเวลานั้น มาตรการดังกล่าวอาจไม่แข็งแกร่งเพียงพอที่จะเยียวยาได้
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) ได้ออกแถลงการณ์ภายหลังการประชุมว่า "มีความเสี่ยงอย่างมากที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเผชิญกับภาวะขาลง ซึ่งความเสี่ยงดังกล่าวนั้นรวมถึงภาวะตึงตัวในตลาดการเงินทั่วโลก ส่วนสภาวะทั่วไปในตลาดแรงงานยังคงอ่อนแอ และอัตราว่างงานยังคงอยู่ในระดับที่สูงมาก"
"ทั้งนี้ เพื่อเป็นการหนุนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวแข็งแกร่งขึ้น คณะกรรมการเอฟโอเอ็มซีจึงตัดสินใจที่จะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 6-30 ปีวงเงินรวม 4 แสนล้านดอลลาร์ พร้อมกับขายพันธบัตรอายุ 3 ปีหรือต่ำกว่า ในวงเงินเท่ากัน ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวนี้จะเสร็จสิ้นภายในเดือนมิ.ย. 2555" แถลงการณ์ของเฟดระบุ
อย่างไรก็ตาม ตลาดการเงินทั่วโลกต่างก็ผิดหวังกับมาตรการดังกล่าวของเฟด โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 283 จุด
จอช เฟนแมน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากดีบี แอดไวเซอร์สกล่าวว่า "มาตรการที่เฟดนำมาใช้มีประโยชน์และจะช่วยให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวปรับตัวลงได้ก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ยาวิเศษที่จะเยียวยาปัญหาเศรษฐกิจได้ทั้งหมด"
รายงานของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ซึ่งมีการเผยแพร่เมื่อวานนี้ระบุว่า "นโยบายการเงินมีข้อจำกัดในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวขึ้นได้ ขณะเดียวกันความเสี่ยงต่างๆก็สูงขึ้นด้วย"
การแสดงความคิดเห็นของไอเอ็มเอฟสอดคล้องกับที่นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดได้กล่าวไว้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาว่า "นโยบายการเงินไม่ใช่ยาวิเศษ" ซึ่งความคิดเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับมุมมองของนักวิเคราะห์คนอื่นๆในตลาดเช่นกัน
บทวิเคราะห์โดย หลิว หลี่นา และเจียง ซูเฟิง จากสำนักข่าวซินหัว