น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานในการประชุมระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ร่วมกับพื้นที่ประสบอุทกภัย จ.สุโขทัย, ชัยนาท, สิงห์บุรี และลพบุรีว่า จะพยายามติดตามการรายงานสถานการณ์น้ำท่วมให้ได้ทุกวัน แต่หากไม่สามารถเป็นประธานในการประชุมได้ จะมอบหมายรัฐมนตรีท่านอื่นให้เร่งติดตามแก้ไขปัญหาต่อไป โดยในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ ได้มอบหมายให้นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รมว.มหาดไทย และนายฐานิสร์ เทียนทอง รมช.มหาดไทย ทำหน้าที่ ซึ่งจะมีการกำหนดพื้นที่ที่จะมีการวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์อีกครั้ง
อย่างไรก็ดี ขณะนี้บางจังหวัดระดับน้ำได้เริ่มลดลงมากแล้ว ซึ่งเป็นเพราะการเร่งระดมใช้เรือผันน้ำลงสู่ทะเล ซึ่งการดำเนินการหลังจากนี้จะต้องเร่งฟื้นฟูและช่วยเหลือประชาชนหลังจากปริมาณน้ำลดลงแล้ว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในวันอาทิตย์ที่ 25 ก.ย.นี้ เตรียมลงพื้นที่ติดตามน้ำท่วมในพื้นที่ อ.บ้านหมี่ และ อ.โคสำโรง จ.ลพบุรี ซึ่งมีพื้นที่การเกษตรเสียหายกว่า 160,000 ไร่ และปริมาณน้ำเพิ่มต่อเนื่องเฉลี่ยวันละ 15-30 ซม. โดยจ.ลพบุรีถือว่า มีพื้นที่ประสบอุทกภัยทั้ง 11 อำเภอ นอกจากนี้ยังแสดงความเป็นห่วงว่าปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นจะนำไปสู่ปัญหาอื่นๆตามมา เช่น ปัญหาสุขภาพ ทั้งน้ำกัดเท้า ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร รวมทั้งปัญหาความเครียด
พร้อมกันนี้ ได้สั่งการให้ทุกจังหวัดจัดทำตารางงานในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเป็นระบบและรายงานมาที่ส่วนกลาง คือ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
ส่วนการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบปัญหาอุทกภัยนั้น นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลจะใช้หลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือที่ 2,222 บาท/ไร่ แต่หากมีพื้นที่ใดที่เกษตรได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก ก็จะมอบหมายให้ทางจังหวัดเป็นผู้ประเมินความเสียหาย ซึ่งรัฐบาลจะใช้แนวทางการช่วยเหลือ เช่น การแจกจ่ายพันธุ์ข้าว แต่ยืนยันว่าจะไม่กลับไปใช้การประกันรายได้ดังเช่นรัฐบาลก่อน
"เราใช้คนละวิธี สถานการณ์น้ำท่วมเป็นช่วงของผลกระทบที่เป็นรอยต่อ เราจะนำปัญหารอยต่อมาดูให้ครอบคลุม ซึ่งได้มอบหมายให้รมว.เกษตรฯ และ รมว.พาณิชย์ หารือร่วมกัน" นายกรัฐมนตรี กล่าว
สำหรับการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยครัวเรือนละ 5,000 บาทที่ขณะนี้ช่วยไปแล้วกว่า 70% นั้น นายกฯ ได้แสดงความเป็นห่วงกรณีที่ฝ่ายค้านออกมาติติง ว่า ได้รับการยืนยันจากธนาคารออมสินว่า การจ่ายเงินเป็นไปตามความเป็นจริง โดย ณ วันที่ 21 ก.ย.มีการจ่ายเงินไปแล้ว 111,092 ราย ใน 26 จังหวัด