นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมช.คลัง เปิดเผยภายหลังการตรวจเยี่ยมกรมสรรพากรว่าได้มอบนโยบายให้กรมเร่งพัฒนาบุคลากรและระบบไอทีให้ทันสมัยเพื่อเพิ่มศักยภาพการจัดเก็บภาษีในรูปแบบต่างๆ ได้เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 55 กรมสรรพากรได้รับมองให้กำหนดเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ 1.6 ล้านล้านบาท และรัฐบาลมีนโยบายให้ปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 30% เป็น 23% ซึ่งจะทำให้สูญเสียรายได้ประมาณ 1 แสนล้านบาท และในปี 56 จะลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 20% แต่คงสูญเสียรายได้เพิ่มขึ้นอีกไม่มาก ทั้งนี้ จะได้เตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เพิ่อพิจารณาในเรื่องนี้ต่อไป
ส่วนการจัดเก็บภาษีผู้ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหุ้น บมจ.ชินคอร์ปนั้น ทางกรมสรรพากรไม่ได้มีการรายงานในเรื่องนี้ให้ทราบ และไม่ได้มีการเสนอเรื่องนี้มาให้พิจารณา ซึ่งหากมีความคืบหน้าคาดว่าทางกรมสรรพากรจะเป็นผู้ชี้แจงเอง
รมช.คลัง ยังกล่าวยืนยันว่า มาตรการภาษีบ้านหลังแรก ยังยืนยันตามหลักการเดิมที่กำหนดให้ซื้อบ้านหลังละไม่เกิน 5 ล้านบาท นำมาหักภาษีได้ไม่เกิน 10% ทยอยคืนภาษีภายใน 5 ปี ผู้ซื้อบ้านสามารถเริ่มใช้มาตรการได้หลังที่มีการโอนกรรมสิทธิ ขณะเดียวกันนายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รมช.คลังที่ดูแลธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.)จะหามาตรการเสริมอื่นเข้ามาด้วย
"จะไม่มีการเพิ่มมาตรการภาษีอื่นๆอีก เช่น การลดหย่อนภาษีดอกเบี้ยบ้าน ก็ยังเป็นไปตามปกติ ไม่มีมาตรการเพิ่มเติม" รมช.คลัง กล่าว
ส่วนมาตรการภาษีรถยนต์คันแรก ยอมรับว่าอาจจะมีการพิจารณาในรายละเอียดเพิ่มขึ้นที่กรมสรรพสามิตกำลังพิจารณาเพิ่มเติม เช่น การไม่จำกัดซีซีเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นข้อเสนอที่กำลังพิจารณา หากเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากขึ้น และมองว่าการปรับเปลี่ยนมาตรการดังกล่าว ไม่ได้กระทบต่อการวางแผนทำการตลาดของผู้ประกอบการรถยนต์ เพียงแต่ข้อเรียกร้องต่างๆของผู้ประกอบการเพื่อต้องการให้ขายรถยนต์ได้มากขึ้น
ด้านนายมานิตย์ นิธิประธีป รองอธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 54 คาดว่ากรมสรรพากรจะจัดเก็บรายได้ 1.513 ล้านล้านบาท สูงกว่าประมาณการที่ตั้งไว้ 8-9% จากประมาณการที่ตั้งไว้ 1.390 ล้านล้านบาท ส่วนปีงบระมาณ 55 ได้รับเป้าหมายจัดเก็บรายได้ที่ 1.624 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 8-9% จากปีงบประมาณ 54 โดยได้รวมการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 23% ไว้แล้ว
ทั้งนี้ คาดว่าเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ปีงบประมาณ 55 น่าจะอยู่ในวิสัยที่ดำเนินการได้ แต่ยังเป็นห่วงภาระภาษีที่อาจได้รับผลกระทบจากปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรป ที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออก แต่อีกด้านการที่รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ ทั้งมาตรการภาษีบ้านหลังแรก รถคันแรก น่าจะช่วยทำให้การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ได้มากขึ้น