ผลการศึกษาชี้การใช้ก๊าซธรรมชาติแทนถ่านหินไม่ช่วยลดภาวะโลกร้อน

ข่าวต่างประเทศ Tuesday September 27, 2011 15:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ผลการศึกษาร่วมระหว่างสหรัฐและออสเตรเลียระบุว่า การหันมาใช้ก๊าซธรรมชาติแทนถ่านหินอาจจะไม่ช่วยลดภาวะโลกร้อน หรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่ระยะเวลาอันใกล้นี้

นายทอม วิกลีย์ ศาสตราจารย์วุฒิคุณประจำมหาวิทยาลัยแอดิเลดของออสเตรเลียและนักวิจัยอาวุโสประจำศูนย์วิจัยชั้นบรรยากาศของสหรัฐ (NCAR) ทำการศึกษาเรื่องการเผาไหม้พลังงานฟอสซิลส่งผลกระทบกับสภาพภูมิอากาศโลกอย่างไร

นายวิกลีย์กล่าวว่า การหันมาใช้ก๊าซธรรมชาติแทนถ่านหินเป็นเหมือน “ดาบสองคม" เนื่องจากว่า แม้การใช้พลังงานถ่านหินก่อให้เกิดความร้อนจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดักจับความร้อนก็จริง แต่ในขณะเดียวกันก็ปล่อยก๊าซซัลเฟตและอนุภาคอื่นจำนวนมากซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ก๊าซซัลเฟตและอนุภาคเหล่านี้ก็ยังช่วยให้โลกเย็นลงด้วยการสกัดกั้นแสงแดดที่ส่องมายังโลก

ในขณะเดียวกัน ยังมีความไม่แน่นอนในเรื่องของปริมาณก๊าซมีเทนซึ่งเป็นก๊าซตัวสำคัญที่สร้างภาวะเรือนกระจกและรั่วไหลออกมาจากระบวนการผลิตก๊าซธรรมชาติ

นายวิกลีย์กล่าวในแถลงการณ์ว่า “ในด้านหนึ่ง การเผาไหม้เชื้อเพลิงถ่านหินอาจจะทำให้โลกร้อนขึ้นบ้างก็จริง แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ช่วยลดมลภาวะเช่นกัน"

การศึกษาดังกล่าวระบุว่า การที่ทั่วโลกเริ่มหันมาใช้ก๊าซธรรมชาติแทนถ่านหินบ้างแล้วในบางส่วน จะเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเล็กน้อย โดยจะกินเวลายาวนานถึงปี 2593 เป็นอย่างน้อยในกรณีที่ไม่มีก๊าซมีเทนรั่วไหลออกมาจากกระบวนการผลิตก๊าซธรรมชาติ และอาจกินระยะเวลาไปถึงปลายปี 2683 หากมีการรั่วไหลของก๊าซมีเทนจำนวนมาก

หลังจากนั้น การพึ่งพาก๊าซธรรมชาติอย่างมากจะเริ่มช่วยชะลอการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโดยเฉลี่ยทั่วโลก แต่ก็เป็นเพียงแค่ไม่กี่สิบองศา

“การพึ่งพาก๊าซธรรมชาติมากขึ้นอาจจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ไม่ค่อยได้ช่วยอะไรมากนักต่อการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน" นายวิกลีย์กล่าว “อาจจะต้องใช้เวลาหลายทศวรรษในการชะลอภาวะโลกร้อน"

นายวิกลีย์กล่าวว่า การศึกษาของเขาไม่ได้หมายความว่า ถ่านหินดีกว่าก๊าซธรรมชาติ แต่เป็นเพราะมีอีกหลายปัจจัยอื่นมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ควรจะนำมาพิจารณาเมื่อต้องกำหนดนโยบายแก้ไขปัญหาโลกร้อน

การศึกษาดังกล่าวจะได้รับการตีพิมพ์ลงวารสารวิชาการ Climatic Change Letters ฉบับเดือนต.ค.นี้ สำนักข่าวซินหัวรายงาน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ