นสพ.บิสิเนส ไทม์ส รายงานว่า การปิดโรงกลั่นของบริษัท เชลล์ ที่สิงคโปร์ ซึ่งมีกำลังการผลิตน้ำมันดิบครึ่งล้านบาร์เรลต่อวันนั้นกำลังส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมพลังงาน
เหตุไฟไหม้ที่แผนกปั๊มน้ำมันที่โรงกลั่นเมื่อวันที่ 28 ก.ย.บนเกาะปูเลา บูคม เกาะเล็กๆซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับสิงคโปร์นั้น ทำให้โรงกลั่นขนาดใหญ่ที่สุดของเชลล์ต้องปิดทำการลง รวมทั้งโครงการ Ethylene Cracker ที่ผลิตเอธิลีนในปริมาณ 800,000 ตันต่อปี
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่รายนี้ได้ประกาศภาวะสุดวิสัยสำหรับอุปทานน้ำมัน เช่น แนปตา ที่บริษัท ปิโตรเคมิคอล คอร์ปอเรชั่น ออฟ สิงคโปร์ ซึ่งดูแลโรงงาน Petrochemical cracker ที่มีความสามารถในการผลิตทั้งหมด 1.4 ล้านตันต่อปี ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะจูร่ง
บริษัท เอลลา อีสเตอร์ ซึ่งเชลล์และ BASF ถือหุ้นอยู่ฝ่ายละ 50% ก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน โดยโรงงานทั้ง 2 แห่งนั้นรับอุปทานน้ำมันจากท่อส่งจากปูเลา บูคอม
เหลียง ทิง วี ผู้อำนวยการฝ่ายบริการพลังงาน เคมี และวิศวกรรมของคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจ กล่าวว่า ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะระบุถึงผลกระทบโดยรวมต่ออุตสาหกรรม เนื่องจากจะต้องดูเรื่องระยะเวลาของเหตุขัดข้องที่โรงงานของเชลล์ว่าจะกินเวลานานเท่าใด
ทั้งนี้ เชลล์ได้ประกาศภาวะสุดวิสัยให้ลูกค้าทราบแล้ว แต่ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้น
โฆษกของบริษัทกล่าวว่า เราเข้าใจว่าลูกค้าเป็นห่วง เรากำลังหารือกับลูกค้า เพื่อหาทางป้อนน้ำมัน รวมทั้งบรรเทาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น
เชลล์ได้เริ่มดำเนินการสืบสวนสอบสวนหาสาเหตุของเพลิงไหม้ครั้งนี้ ก่อนหน้านี้ เชลล์ระบุว่า บริษัทคาดว่า โรงงานที่ได้รับผลกระทบคงจะยังไม่เปิดทำการจนกว่าการสืบสวนสอบสวนจะสิ้นสุดลง และมั่นใจว่าเป็นเรื่องของความปลอดภัย
กระทรวงพลังงานระบุว่า ผลการสืบสวนเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่า เกิดไฟไหม้ขึ้นในระหว่างที่มีการเตรียมการเพื่อซ่อมบำรุง