นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงาน กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างเร่งศึกษาการเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ทั้งเรื่องการขยายการสำรองน้ำมันทางกฎหมาย และการขยายการขนส่งน้ำมันทางท่อ รวมไปถึงการลงทุนโครงการแลนบริดจ์ในภาคใต้ เพราะจะเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น น้ำท่วม ดังนั้นหากประเทศไทยมีแผนสำรองเพิ่มขึ้นจะช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ
สำหรับการสำรองน้ำมันดิบทางกฎหมายของประเทศในขณะนี้ กฎหมายกำหนดอยู่ที่ร้อยละ 5 หรือคิดเป็นสำรองจำนวน 18 วัน แต่กระทรวงพลังงานต้องการให้เพิ่มสำรองน้ำมันในระยะสั้นอีก 11 วัน เป็น 29 วัน ส่วนในระยะยาวต้องการที่จะขยายเพิ่มเป็น 90 วัน เช่นเดียวกับประเทศที่พัฒนาแล้วมีการสำรองอยู่ที่ 90-100 วัน เนื่องจากปัจจุบันไทยต้องนำเข้าน้ำมันสูงถึง 85%
การสำรองเพิ่มในขณะนี้กรมธุรกิจพลังงานกำลังศึกษาว่าเอกชนหรือภาครัฐจะเป็นผู้ลงทุนสร้างคลังสำรองน้ำมันดิบดังกล่าว โดยพื้นที่ที่เหมาะสมอาจเป็นพื้นที่ของ บมจ.ไออาร์พีซี(IRPC) ซึ่งการขยายปริมาณสำรองน้ำมันจะเป็นการเก็บไว้ในรูปน้ำมันดิบที่พร้อมจะนำไปกลั่นได้ทั้งน้ำมันเบนซินและดีเซล เพราะมีความยืดหยุ่นในการแก้ปัญหาได้ดีกว่า
ส่วนเรื่องการขยายเส้นทางการส่งน้ำมันทางท่อของบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด(แทปไลน์) จากปัจจุบันที่ขนส่งจากภาคตะวันออกไปยัง จ.สระบุรี ก็จะขยายไปยังภาคเหนือและภาคอีสาน แต่ทางแทปไลน์ให้เหตุผลว่าจะมีความเสี่ยงทางด้านการลงทุน เพราะมีผลตอบแทนการลงทุน(ไออาร์อาร์) ต่ำเพียงร้อยละ 11 เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในส่วนตัวเห็นว่าครจะต้องนำผลตอบแทนทางด้านสังคมเข้ามาคำนวณด้วย เพราะหากมีการขนส่งทางท่อก็จะลดอุบัติขนส่งทางถนน และจะไม่มีปัญหาต่อการขนส่งหากเกิดน้ำท่วม และที่สำคัญยังจะช่วยลดความแตกต่างของราคาน้ำมันในเขต กทม.และต่างจังหวัด จาก 1 บาทต่อลิตรจะเหลือเพียง 10-20 สตางค์ต่อลิตร
นอกจากนี้ยังเร่งศึกษาโครงการแลนบริดจ์ที่จะมีการก่อสร้างทั้งโรงกลั่นน้ำมัน คลังน้ำมัน และปิโตรเคมี โดยจะให้บริษัทในเครือ ปตท. โดยเฉพาะ บมจ.ไทยออยล์(TOP) เป็นผู้ลงทุนหลัก ซึ่งจะทำให้ไทยออยล์มีกำลังการกลั่นเป็นระดับต้นๆ ของโลก