รายงานล่าสุดเผยว่า 1 ใน 6 ของเหมืองถ่านหินในออสเตรเลียจะปิดตัวลง พร้อมกับคนงานเหมืองจะตกงานกว่า 21,000 คน เนื่องจากการจัดเก็บภาษีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์
รายงานซึ่งเปิดเผยโดยบริษัทที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ เอซีล ทัสมัน ระบุว่า เหมืองใต้ดิน 12 จาก 30 แห่งในรัฐนิวเซาธ์เวลส์และเหมืองแบบเหมืองหาบ 6 จาก 42 แห่งในรัฐควีนส์แลนด์เสี่ยงต่อการปิดตัวลงก่อนกำหนด เนื่องจากภาษีคาร์บอนที่คาดว่าจะได้รับไฟเขียวจากรัฐสภาในเร็วๆนี้ นอกจากนี้ 27% ของแรงงานในภาคอุตสาหกรรมดังกล่าวก็เสี่ยงกับการตกงานเช่นกัน
นายจอห์น เพกเลอร์ ประธานสมาคมถ่านหินออสเตรเลียกล่าวว่า ช่วงเวลานี้ยังไม่ใช่ช่วงเวลาเหมาะสมที่จะเสนอกฎหมายจัดเก็บภาษีคาร์บอน เนื่องจากการแข่งขันระหว่างประเทศเพื่อการลงทุนในโครงการเหมืองแร่ใหม่ๆนั้นมีความรุนแรง
“รายงานฉบับนี้ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนครั้งสุดท้ายให้กับรัฐสภาเรื่องของผลกระทบที่จะตามมาจากการจัดเก็บภาษีคาร์บอน" เขากล่าวในแถลงการณ์วันนี้
“การเพิ่มขึ้นของฐานต้นทุนโครงการเหมืองแร่ในออสเตรเลียจะส่งผลให้ประเทศขาดศักยภาพในการแข่งขัน และผลักดันการลงทุนไปยังประเทศคู่แข่งของออสเตรเลียมากขึ้น"
ข้อมูลดังกล่าวได้รับการเปิดเผยสองวันก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณาลงมติร่างกฏหมายฉบับดังกล่าว ซึ่งได้รับการคาดหมายว่าจะผ่านการลงมติ
ทั้งนี้ คาดว่าการจัดเก็บภาษีคาร์บอน 24 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.ปีหน้าเป็นต้นไป โดยภาษีดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นปีละ 2.5% เป็นระยะเวลา 3 ปี ก่อนจะเปลี่ยนเป็นระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซคาร์บอนในปี 2558 สำนักข่าวซินหัวรายงาน