นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) คาดว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวเพียง 3.7% ลดลงจากเดือนมิ.ย.ที่เคยคาดไว้ว่าจะโตได้ 4.5% เนื่องจากขณะนั้นยังไม่เกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่ ทั้งนี้ประเมินว่าภาวะอุทกภัยที่เกิดขึ้นจนถึงปัจจุบันได้สร้างความเสียหายแล้ว 6.9 หมื่นล้านบาท ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของจีดีพีลดลง 0.6% ประกอบกับผลกระทบจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปให้ลดลงอีก 0.2%
โดยเบื้องต้นประเมินว่าภาวะน้ำท่วมจะกระทบต่อภาคการผลิตอย่างน้อย 1 เดือน และเชื่อว่านักลงทุนต่างประเทศคงไม่ย้ายฐานการลงทุนไปยังประเทศอื่น เนื่องจากปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องของภัยธรรมชาติไม่ใช่ผลกระทบจากพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยเอง
นายสมชัย กล่าวว่า ปีงบประมาณ 55 จะทำให้การจัดเก็บรายได้ภาษีของรัฐบาลลดลง 1.2 หมื่นล้านบาท แต่เนื่องจากรัฐบาลได้มีมาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ และมาตรการฟื้นฟูหลังสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายจึงเชื่อว่าในที่สุดแล้วรายได้ภาครัฐจะกลับมาเป็นบวกได้
นายธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล รมว.คลัง เปิดเผยว่า นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) รายงานว่า สถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในขณะนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) จะไม่นำปัจจัยจากราคาสินค้าที่ปรับสูงขึ้นจากสถานการณ์น้ำท่วมมากำหนดแนวนโยบายอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไป(19 ต.ค.) เนื่องจากราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นแค่สถานการณ์ชั่วคราว คงไม่มีผลต่อเนื่องไปถึงการกำหนดนโยบายการเงิน ขณะที่ กนง.จะมองภาพรวมทางเศรษฐกิจในระยะยาวมากขึ้น
ส่วนนโยบายการคลังนั้น ได้มีการอนุมัติการแก้กฎระเบียบของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการนำเงินงบประมาณไปใช้ในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม เพื่อให้การใช้งบประมาณมีความต่อเนื่องและคล่องตัวมากขึ้น พร้อมมองว่าหลังจากสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายลงแล้ว ควรจะวางแผนเพื่อพิจารณากลไกและเครื่องมือระยะยาว 3-5 ปีข้างหน้า เพื่อให้มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ อีกทั้งการฟื้นฟูน้ำท่วมนั้นจะเร่งดำเนินการโดยเร็ว และจะดึงภาคเอกชนเข้ามาช่วยกันร่วมฟื้นฟู
รมว.คลัง กล่าวว่า จากที่สถานการณ์น้ำในปีนี้มีปริมาณมาก เห็นว่าควรปรับเปลี่ยนช่วงเวลาการเพาะปลูกของประเทศให้เร็วขึ้น เพื่อให้มีการบริหารจัดการได้ดีขึ้น