นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ออกกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพิ่มอีก 2 กองทุน เพื่อเป็นทางเลือกในการกระจายความเสี่ยงให้กับผู้ลงทุน ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลด์ THB เฮดจ์ เพื่อการเลี้ยงชีพ (SCB GOLD THB HEDGED RMF) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET 50 INDEX เพื่อการเลี้ยงชีพ (SCB SET50 INDEX RMF) มูลค่ารวมประมาณ 4,000 ล้านบาท พร้อมทั้ง กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET50 INDEX (SCB SET50 INDEX FUND) มูลค่า 2,000 ล้านบาท เปิดจองพร้อมกันตั้งแต่วันนี้จนถึง 17 ต.ค.ด้วยลงทุนขั้นต่ำ 5,000 บาท ซึ่งภายหลังการเสนอขายครั้งแรกผู้ลงทุนสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ
ทั้งนี้ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลด์ THB เฮดจ์ เพื่อการเลี้ยงชีพ เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในทองคำแท่งและจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (Exchange Traded Fund : ETF) โดยเฉลี่ยในรอบบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิกองทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนหลังหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการจัดการให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของราคาทองคำ และได้ทำการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนตลอดเวลา
ส่วนกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET50 INDEX และ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET50 INDEX เพื่อการเลี้ยงชีพ จะมีนโยบายเหมือนกันคือ เน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่เป็นส่วนประกอบของ SET 50 เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี SET 50 ให้มากที่สุด ซึ่งทั้งสองกองทุนเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ชอบลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ ไม่เจาะจงหมวดธุรกิจ และเชื่อว่า SET50 INDEX จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า SET INDEX
“การลงทุนในหุ้นและทองคำเป็นอีกทางเลือกในการกระจายความเสี่ยงที่ดี โดยเฉพาะการลงทุนระยะยาวอย่าง RMF ซึ่งต้องมีวินัยในการลงทุนอย่างสม่ำเสมอทุกปี ถึงแม้จะมีความผันผวนแต่ก็ยังมีปัจจัยสนับสนุนในระยะยาว โดยในส่วนของหุ้นเรามองว่าประเทศไทยยังมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและถึงแม้จะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปบ้างแต่ก็ไม่มากนัก อีกทั้งนโยบายภาครัฐยังกระตุ้นการบริโภคในประเทศซึ่งจะส่งผลบวกต่อภาคธุรกิจในประเทศมีผลประกอบการที่ดี และเป็นสิ่งจูงใจให้เงินลงทุนไหลกลับมาในตลาดหลักทรัพย์ไทย
นอกจากนี้ ในส่วนของทองคำ ยังมีความไม่แน่นอนของปัญหาหนี้สาธารณะของสหรัฐฯและยุโรปที่ส่งผลให้ Capital Fund Flow และราคาสินทรัพย์ต่างๆทั่วโลกมีความผันผวน และเมื่ออัตราดอกเบี้ยของทั้งสหรัฐและยุโรปยังอยู่ในระดับต่ำจะทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบ นักลงทุนจะหันลงทุนในสินทรัพย์ที่เอาชนะเงินเฟ้อได้ในระยะยาว" นางโชติกา กล่าว