นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงาน กล่าวว่า กระทรวงฯ ยังไม่มีแผนที่จะทบทวนการประกาศลอยตัวราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว(แอลพีจี) ในภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรมในขณะนี้ เนื่องจากเห็นว่าราคาพลังงานควรเป็นไปตามกลไกตลาด เพราะปัจจุบันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันเบนซินและดีเซลเพื่อมาชดเชยราคาแอลพีจี ซึ่งไม่เป็นธรรมที่คนอีกกลุ่มหนึ่งจะมารับภาระดังกล่าว แต่ในส่วนของแอลพีจีภาคครัวเรือนนั้น กระทรวงพลังงานยังไม่มีแผนจะประกาศลอยตัว
อนึ่ง เมื่อวันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) มีมติเห็นชอบให้ทยอยลอยตัวราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์(NGV) หลังสิ้นสุดกำหนดเวลาตรึงราคาที่จะขยายออกไปอีกระยะหนึ่ง โดยให้ขยายเวลาตรึงราคา LPG ภาคครัวเรือนให้ขยายเวลาตรึงราคาขายปลีกที่กิโลกรัมละ 18.13 บาท ออกไปจนถึงสิ้นปี 55 จากเดิมที่สิ้นสุดในเดือน ก.ย.นี้ ส่วน LPG ภาคขนส่ง ให้ขยายเวลาตรึงราคาออกแค่วันที่ 15 ม.ค.55 เพื่อรอความพร้อมเรื่องการออกมาตรการบัตรเครดิตพลังงาน หลังจากนั้นตั้งแต่วันที่ 16 ม.ค.55 ให้ทยอยปรับขึ้นราคา LPG ภาคขนส่งให้ทยอยปรับขึ้นทุกเดือนในอัตรากิโลกรัมละ 75 สตางค์ หรือลิตรละ 41 สตางค์ รวมถึงให้เรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับ LPG ภาคปิโตรเคมีในอัตรากิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.55 ซึ่งทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายได้เพิ่มเดือนละ 180 ล้านบาท
ส่วนแนวโน้มราคาน้ำมันในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ รมว.พลังงาน มองว่า น่าจะยังทรงตัว หรือปรับขึ้นลงในกรอบแคบๆ เนื่องจากเศรษฐกิจในยุโรปและอเมริกายังไม่ฟื้น ทั้งนี้จากการหารือร่วมกับหลายสถาบันในต่างประเทศยังคงมองว่าราคาน้ำมันจะวิ่งอยู่ที่ระดับ 70-80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่ปัจจุบันที่ราคาน้ำมันยังสูงอยู่เพราะมีการพยุงราคาน้ำมันเอาไว้ เนื่องจากต้นทุนการผลิตน้ำมันอยู่ในระดับดังกล่าว ดังนั้นราคาน้ำมันไม่น่าจะต่ำไปกว่า 70-80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
สำหรับความคืบหน้าการศึกษาบัตรเครดิตพลังงาน ขณะนี้อยู่ระหว่างการการพิจารณาร่วมกันของกระทรวงพลังงาน และ บมจ.ปตท. (PTT) คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือน ธ.ค.นี้