นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง กล่าวว่า สถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นหลายพื้นที่ของประเทศในขณะนี้ส่งผลกระทบทำให้เกิดความเสียหายใน 2 ด้านคือ ทรัพย์สินและรายได้ โดยในด้านทรัพย์สินนั้น ขณะนี้ยังประเมินได้ยาก แต่เชื่อว่าไม่น่าจะหนักหนาอย่างที่มีผู้กังวล โดยเฉพาะโรงงานต่างๆ ที่ถูกน้ำท่วมส่วนใหญ่มีการทำประกันภัยไว้แล้ว
ขณะที่ความเสียหายต่อรายได้หรือผลกระทบต่อผลผลิตมวลรวมในประเทศ(จีดีพี) น่าจะสูงกว่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์) ที่ประเมินไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนราว 6-9 หมื่นล้านบาทเล็กน้อย เนื่องจากเป็นการประเมินก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมหนักขยายวงเข้าท่วมในนิคมอุตสาหกรรมไฮเทคในวันนี้
รมว.คลัง ยอมรับว่า ผลพวงของสถานการณ์อุทกภัยในรอบนี้ย่อมมีผลต่อจีดีพีอยู่บ้าง แต่เชื่อว่าหลังจากสิ้นเดือน ต.ค.ไปแล้ว สถานการณ์น้ำท่วมจะสามารถคลี่คลายลงได้ ดังนั้น สิ่งที่จะต้องทำเป็นลำดับแรกคือการฟื้นฟู เพื่อเร่งให้กระบวนการในภาคการผลิตกลับมาโดยเร็ว
"หลังสิ้นเดือนนี้ไปแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือการฟื้นฟูเร่งกระบวนการผลิตให้กลับมาโดยเร็ว เราต้องเอาชนะให้ได้ ผมมั่นใจว่าคนไทยทำได้" รมว.คลัง กล่าว
พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลจะยังเดินหน้าโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแนวนโยบายที่ได้วางไว้ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการผลักดันราคาสินค้าเกษตร, นโยบายกองทุนหมู่บ้าน, นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท/วัน แต่สิ่งที่ต้องทำเพิ่มเติมคือ การลงทุนเพิ่มในระบบโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการบริหารจัดการ 25 ลุ่มน้ำอย่างเป็นระบบและถาวร เพื่อเป็นการวางแนวทางการแก้ปัญหาน้ำของประเทศอย่างยั่งยืน นอกจากนั้นยังอาจจะพิจารณาใช้มาตรการการคลังเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้วย
ขณะเดียวกัน จำเป็นต้องนำประสบการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในปีนี้รวบรวมเป็นบทเรียนไว้ใช้ป้องกันสถานการณ์ในปีหน้า เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาฉุกละหุกดังเช่นในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือประชาชนออกจากพื้นที่ประสบภัย, การจัดตั้งศูนย์อพยพ เป็นต้น
ส่วนการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า รมว.คลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้มีการปรับปรุงระเบียบราชการเพื่อให้การอนุมัติเบิกจ่ายเงินงบประมาณเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ไม่จำเป็นต้องประกาศเป็นเขตภัยพิบัติก่อนถึงจะขอสนับสนุนงบประมาณช่วยเหลือได้ หรือการปรับเพิ่มวงเงินสำรองฉุกเฉินให้เพิ่มมากขึ้นจากเดิมที่ตั้งไว้ 50 ล้านบาท/จังหวัด ซึ่งล่าสุดมีถึง 33 จังหวัดที่ขอขยายวงเงินดังกล่าว และได้รับการอนุมัติไปแล้วรวมกว่า 4,000 ล้านบาท
นายธีระชัย กล่าวอีกว่า ขณะนี้ยังได้ขอความร่วมมือไปยังธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ รวมทั้งธนาคาพาณิชย์ ให้ช่วยผ่อนปรนเงื่อนไขการให้สินเชื่อแก่ลูกค้าของธนาคาร โดยให้พิจารณาจากลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมเป็นหลักก่อน รมว.คลัง กล่าวอีกว่า ในวันที่ 17 ต.ค.นี้ จะมีการเรียกประชุมหน่วยงานด้านเศรษฐกิจทั้งหมด เพื่อประเมินและวางแผนในการนำงบประมาณที่แต่ละหน่วยงานเฉลี่ยมา 10% ไปเป็นงบประมาณในการซ่อมแซมและฟื้นฟูหลังน้ำท่วม โดยมีงบประมาณราว 8 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ จะมีการหารือในส่วนการจ่ายเงินชดเชยเพิ่มเติมในช่วงที่ 2 เฉพาะในพื้นที่ภาคกลาง โดยในส่วนการจ่ายเงินส่วนที่ 2 จะจ่ายผ่านกองทุนหมู่บ้าน
ทั้งนี้ หลังจากที่น้ำลดแล้วจำเป็นต้องมีการมาหารือในเรื่องของการวางระบบการจัดการน้ำระยะยาว ซึ่งมีความสำคัญมากกว่าจะฟื้นฟูเพียงอย่างเดียว เพราะหากสามารถวางระบบได้จะมีส่วนช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุน โดยควรจะจัดการให้แล้วเสร็จภายใน 3-5 ปีของบประมาณ นอกจากนี้มีแนวคิดว่าอาจจะมีการเลื่อนเวลาเพาะปลูกให้เร็วขึ้นด้วย