กระทรวงพาณิชย์ เผยภาวะการส่งออกของไทยในเดือน ก.ย.54 มีมูลค่า 21,511 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 19.1% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 21,273 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 41.9% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน แต่ยังเกินดุลการค้าอยู่ 238 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ส่งผลให้ยอดส่งออกในช่วง 9 เดือนแรก(ม.ค.-ก.ย.54) ของปีนี้มีมูลค่ารวม 179,577 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวเพิ่ม 25.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่ารวม 174,297 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 30.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเกินดุลการค้ารวมทั้งสิ้น 5,280 ล้านดอลลาร์
นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสจน์ รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกในเดือนก.ย.ขยายตัวเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่ม โดยกลุ่มสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวถึง 51.9% สินค้าที่ส่งออกในปริมาณและมูลค่สาที่สูงขึ้นได้แก่ ยบางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และสินค้าในกลุ่มอาหาร ขณะที่สินค้าอุตสวาหกรรมสำคัญ ขยายตัว 9.7% สินค้าที่ขยายตัวได้สูง คือ สิ่งพิมพ์ ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์พลาสติก ยานยนต์ และส่วนประกอบ เครองใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
ขณะที่ การส่งออกในรายตลาด พบว่ามีการขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกกลุ่มตลาด โดยตลาดหลักส่งออกเพิ่มขึ้น 11.2% ตลาดศักยภาพสูง ส่งออกเพิ่มขึ้น 34.1% และตลาดศักยภาพรองส่งอแกเพิ่มขึ้น 9%
สำหรับการนำเข้าเดือน ก.ย.มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกหมวดสินค้า โดยเฉพาะสินค้าวัตถุดิบ/กึ่งสำเร็จรูปที่นำเข้าเพิ่มขึ้น 69.2 คิดเป็นมูลค่า 10,542 ล้านดอลลาร์ฯ รองลงมา คือ สินค้าเชื้อเพลิงนำเข้าเพิ่มขึ้น 53.1% และสินค้าอุปโภคบริโภค 20.5%
รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า สาเหตุที่การส่งออกเดือนก.ย.ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง เป็นเพราะความต้องการสินค้าในตลาดโลกยังมีอยู่สูง ประกอบกับเศรษฐกิจการค้าของประเทศคู่ค้าสำคัญของประเทศไทยยังขยายตัวได้ดี เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐ จีน อินเดีย รวมถึงกลุ่มในประเทศอาเซียน
อย่างไรก็ดี หลังจากกลางเดือนต.ค.ไปแล้วจะต้องประเมินสถานการณ์ของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าอย่างใกล้ชิด
ส่วนผลกระทบของผู้ประกอบการส่งออกจากปัญหาน้ำท่วม รมช.พาณิชย์ ระบุว่า ภายหลังจากน้ำลด ภาครัฐคงจะมีหลายมาตรการออกมาช่วยเยียวยาฟื้นฟูผู้ประกอบการ รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างชาติ ซึ่งในระหว่างนี้ กรมส่งเสริมการส่งออก อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลที่เป็นข้อเสนอแนะจากผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม ในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อเตรียมเสนอนายกิตจตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ตลอดจนรัฐบาล เพื่อพิจารณาออกเป็นมาตจรการเพื่อฟื้นฟูและเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ จากปัญหาน้ำท่วมในครั้งนี้
"ตอนนี้มีมาหลายข้อเสนอ ทั้งเรื่องการตั้งกองทุนการ, การขอสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ, การเว้นการจัดเก็บประกันสังคม รวมถึงการชดเชยราคาพลังงาน ซึ่งผลกระทบของผู้ประกอบการแต่ละรายมีมาก ดังนั้นขอเวลารวบรวมให้ท่านกิตติรัตน์ได้ประเมินสถานการณ์อีกทีว่าจะกำหนดเป็นมาตรการช่วยเหลืออย่างไร"
ด้านปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายยรรยง พวงราช ระบุว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ เชื่อว่าในภาพรวมการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรจะไม่ได้รับผลกระทบมาก โดยในส่วนของสินค้าข้าว ล่าสุดสามารถส่งออกได้แล้ว 9.5 ล้านตันข้าวสาร ซึ่งเชื่อว่าทั้งปีนี้จะส่งออกได้ตามเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 10 ล้านตันอย่างแน่นอน ขณะที่ในแง่ของมูลค่าการส่งออกข้าวเพิ่มขึ้นมากจากปีก่อน เนื่องจากราคาข้าวปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ การส่งออกข้าวในปีนี้ เชื่อว่าไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากปัญหาน้ำท่วม แม้จะเกิดความเสียหายต่อพื้นที่ปลูกข้าวถึง 13 ล้านไร่ และมีผลผลิตข้าว ได้รับผลกระทบราว 6-7 ล้านตัน เนื่องจากยังสามารรถปลูกทดแทนได้ ประกอบกับราคาข้าวดีขึ้น
แต่กลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าจะได้รับผลกระทบมาก คือกลุ่มอุตสาหกรรมหนัก เช่น ยานยนต์ อิเลคทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ที่ส่วนใหญ่มีโรงงานอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมที่ถูกน้ำท่วมทั้งสิ้น แต่ยังเชื่อว่าในส่วนของภาคอุตสาหกรรมน่าจะสามารถฟื้นฟูได้เร็ว