นายธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล รมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติมาตรการด้านการเงินจำนวน 325,000 ล้านบาท เพื่อดูแลผู้ประกอบการใน 3 กลุ่ม แบ่งเป็น 1.ผู้ประกอบการรายใหญ่ ซึ่งรวมถึงผู้ประกอบการและนักลงทุนต่างประเทศ วงเงิน 65,000 ล้านบาท 2.ผู้ประกอบการขนาดกลาง-ขนาดย่อม วงเงิน 170,000 ล้านบาท และ 3.ผู้ประกอบการขนาดจิ๋ว รวมถึงพ่อค้า-แม่ค้ารายย่อย วงเงิน 90,000 ล้านบาท
โดยความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการรายใหญ่นั้น 1.การผลิตในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงเขตอุตสาหกรรมที่จำเป็นต้องเร่งรัดสร้างเขื่อนให้ได้มาตรฐานโดยเร็ว เพื่อให้ทันฤดูฝนปี 55 ซึ่งได้มีการจัดเตรียมสินเชื่อไว้ให้นิคมอุตสาหกรรม วงเงิน 15,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษ มีธนาคารออมสินเป็นแหล่งให้สินเชื่อ
2.สินเชื่อเพื่อให้การดำเนินธุรกิจต่อเนื่องนั้น ได้มีการเจรจากับธนาคารเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น(เจบิก) ที่ยินดีให้ความช่วยเหลือ โดยจะนำเงินมาฝากกับธนาคารพาณิชย์ในไทย 50,000 ล้านบาท เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์เหล่านี้ได้นำมาปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการอีกทอด ทั้งนี้ไม่จำกัดเฉพาะผู้ประกอบการที่มีธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับบริษัทในญี่ปุ่นเท่านั้น
3.ขยายสิทธิประโยชน์ ด้านการส่งเสริมการลงทุน โดยจะมีการพิจารณามาตรการที่ชัดเจนอีกครั้ง
4.การให้วีซ่าและใบอนุญาตการทำงานแก่ชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาช่วยแก้ไขฟื้นฟูโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ
ส่วนความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการขนาดกลาง-ขนาดย่อมนั้น 1.จะปล่อยสินเชื่อผ่านระบบธนาคารพาณิชย์โดยรัฐบาลได้ประสานงานกับสมาคมธนาคารไทย ซึ่งสมาคมฯ ได้ให้ความร่วมมือโดยจะจัดสินเชื่อให้ผู้ประกอบการในกลุ่มนี้ 120,000 ล้านบาท โดยมีบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) ทำหน้าที่ค้ำประกันเป็นกรณีพิเศษ จากเดิมค้ำประกัน 15% มาเป็น 30% พร้อมทั้งยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันเป็นเวลา 3 ปี ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ที่จะปล่อยกู้ให้ผู้ประกอบการนั้น จะคิดอัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี เป็นเวลา 3 ปี
2.วงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจากธนาคารออมสิน 20,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี ขณะเดียวกันธนาคารพาณิชย์จะร่วมให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำด้วยแหล่งละ 20,000 ล้านบาท
3.สำนักงานประกันสังคม จะนำเงิน 10,000 ล้านบาทไปฝากธนาคารพาณิชย์เพื่อให้ธนาคารนำไปปล่อยสินเชื่อต่อเพื่อเสริมสภาพคล่อง
ส่วนความช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดจิ๋วนั้น 1.ธนาคารออมสิน จะปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการ วงเงิน 20,000 ล้านบาท, ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) จะปล่อยสินเชื่อเพื่อการเคหะในการปรับปรุงและซ่อมแซมบ้าน วงเงิน 30,000 ล้านบาท และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธกส.) จะปล่อยสินเชื่อให้เกษตรกรและสหกรณ์ต่างๆ วงเงิน 30,000 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดนี้คิดอัตราดอกเบี้ยตามตลาด
2.สำนักงานประกันสังคม เตรียมวงเงิน 10,000 ล้านบาทให้กู้ 2 ส่วน คือ ส่วนแรก สถานประกอบการที่มีผู้ประกันตน วงกู้ 2,000 ล้านบาท ให้กู้ได้รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3% เป็นเวลา 3 ปี ส่วนที่สอง ให้ผู้ประกันตนกู้เพื่อซ่อมแซมบ้าน วงเงิน 8,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.5% เป็นเวลา 2 ปี
ด้านนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลจาก 30% มาเหลือ 23% ในปี 55 และจาก 23% มาเหลือ 20% ในปี 56 โดยระหว่างนี้ให้กรมสรรพากรดำเนินการแก้ไข พ.ร.บ.หลัก ให้แล้วเสร็จภายในปี 57