
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง ได้เข้าร่วมการประชุมสภาผู้ว่าการธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (Spring Meetings) และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ในระหว่างวันที่ 21-24 เมษายน 2568 ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา โดยมีรายละเอียดการประชุมฯ ดังนี้
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง ได้เข้าร่วมการประชุมโต๊ะกลมกับนาง Kristalina Georgieva กรรมการจัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และ รมว.คลัง และผู้ว่าธนาคารกลางของแต่ละประเทศในอาเซียน โดยที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น ในหัวข้อ "ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน และการรับมือกำแพงภาษี"
โดยนาง Kristalina ได้ให้ความเห็นในประเด็นการรับมือกำแพงภาษี ว่า ประเทศสมาชิกอาเซียน ควรสนับสนุนนโยบายเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมโยงของตลาดทุน และการค้าในภูมิภาคให้มากขึ้น นอกจากนี้ ควรมีการจัดระเบียบห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศของตนเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้มีความยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ที่ผันผวน ประเทศรายได้น้อยกำลังเผชิญการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และการได้รับเงินช่วยเหลือจากประเทศพัฒนาแล้วที่น้อยลง ทำให้ประเทศรายได้น้อยจะต้องระดมทรัพยากรในประเทศให้สามารถมีรายได้ภาษีสูงกว่า 15% ของ GDP ให้ได้ เพื่อให้รัฐบาลสามารถดำเนินนโยบายการคลังได้อย่างยั่งยืน
นายเผ่าภูมิ รมช.คลัง ได้ร่วมประชุมหารือทวิภาคี ดังนี้
(1) ประชุมร่วมกับกรรมการจัดการ IMF เพื่อหารือถึงการเตรียมความพร้อมของประเทศไทย ในการเป็นเจ้าภาพการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ในปี 2569 (AM2026) โดยนาง Kristalina ได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศไทย แต่ยังคงเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าประเทศไทยจะสามารถเตรียมความพร้อมสำหรับการประชุม AM2026 ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน
(2) ประชุมร่วมกับ Ms. Mamta Murthi รองประธานธนาคารโลก ด้านการพัฒนาทุนมนุษย์ พร้อมคณะผู้บริหารธนาคารโลก ในหัวข้อการปฏิรูประบบสวัสดิการเพื่อรองรับสังคมสูงวัย ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งใน Flagship Report สำหรับประเทศไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดประชุม AM2026
(3) ประชุมร่วมกับผู้แทนจาก Credit Rating Agencies ได้แก่ J.P. Morgan Moody's และ S&P ในหัวข้อภาพรวมเศรษฐกิจมหภาค การรับมือกำแพงภาษี และนโยบายการคลัง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการคลังของประเทศไทย
(4) ประชุมร่วมกับนาย Riccardo Puliti รองประธานบรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (The International Finance Corporation: IFC) ในหัวข้อบทบาทของ IFC ในการสนับสนุนการพัฒนาทักษ และการเพิ่มขีดความสามารถของภาคธุรกิจไทย
(5) ประชุมร่วมกับ H.E. Gilles Roth รมว.คลังราชรัฐลักเซมเบิร์ก โดยได้หารือถึงแนวทางความร่วมมือด้านเทคโนโลยีทางการเงิน (Financial Technology) โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับการพัฒนาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน (Financial hub) และสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset)
การประชุม DC Plenary มีสาระสำคัญสรุปได้ว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนสำคัญ โดยมีแรงกดดันจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลัก ความตึงเครียดทางการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น หนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูง และอัตราการเติบโตระยะกลางที่อ่อนแอ
โดย IMF คาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโลก จะชะลอตัวจาก 3.3% ในปี 2567 เหลือ 2.8% ในปี 2568 และฟื้นตัวเล็กน้อย เป็น 3.0% ในปี 2569 และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะมีแนวโน้มลดลงทั่วโลก โดยการลดลงของอัตราเงินเฟ้อในประเทศพัฒนาแล้ว จะเร็วกว่าประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ และกำลังพัฒนา
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้หารือถึงนโยบายเพื่อการรับมือและสร้างความยืดหยุ่น ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้า และความผันผวนในตลาดการเงิน ดังนี้
1. ประเทศสมาชิก ต้องดำเนินนโยบายเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่น และลดความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจในประเทศ และระหว่างประเทศ และสร้างกันชนทางเศรษฐกิจ เพื่อรองรับความผันผวนในอนาคต
2. ประเทศสมาชิกควรส่งเสริมความร่วมมือพหุภาคี (Multilateral Cooperation) ต่อไป โดยสนับสนุนระบบการค้าระหว่างประเทศที่มีกฎเกณฑ์ชัดเจน
3. ธนาคารกลาง ควรรักษาความมั่นคงด้านราคาและเสถียรภาพทางการเงิน โดยหากความเสี่ยงเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง ควรชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
4. ประเทศสมาชิกควรดำเนินนโยบายการคลังที่ยั่งยืน โดยจำเป็นต้องมีแผนการคลังระยะกลางที่น่าเชื่อถือ เพื่อฟื้นฟูความยั่งยืนทางการคลัง และควรมุ่งเน้นการจัดเก็บรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการใช้จ่ายที่ตรงจุดเพื่อสนับสนุนการพัฒนา
5. ประเทศสมาชิกควรผลักดันการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง โดยส่งเสริมการมีส่วนร่วมของแรงงานสตรี และผู้สูงอายุ การปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ส่งเสริมนวัตกรรม และเพิ่มขีดความสามารถทางเทคโนโลยี
