สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้น 2.1% เมื่อคืนนี้ (3 พ.ย.) หลังจากธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อรับมือกับวิกฤตหนี้ยูโรโซน ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดและยังช่วยหนุนสัญญาทองคำทะยานขึ้นปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์ นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ของกรีซยังเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่กระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำเพื่อความปลอดภัย
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 35.5 ดอลลาร์ หรือ 2.1% ปิดที่ 1,765.1 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 55.5 เซนต์ ปิดที่ 34.498 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 0.75 เซนต์ ปิดที่ 3.5885 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 13.45 ดอลลาร์ หรือ 2% ปิดที่ 662.10 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค.พุ่งขึ้น 45.70 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,647 ดอลลาร์/ออนซ์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาทองคำได้แรงหนุนหลังจากธนาคารกลางยุโรปมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 1.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2552 โดยนายมาริโอ ดราจี ประธานธนาคารกลางยุโรปกล่าวว่า เศรษฐกิจยูโรโซนอาจเข้าสู่ภาวะ "ถดถอยเล็กน้อย" ในช่วงปลายปี 2554
เทรดเดอร์ในตลาดทองคำนิวยอร์กกล่าวว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของอีซีบีส่งผลให้นักลงทุนลดสัดส่วนการลงทุนในตลาดเงินและหันเข้ามาถือครองสินทรัพย์ที่น่าดึงดูดใจอย่างทองคำกันมากขึ้น นอกจากนี้ การลดอัตราดอกเบี้ยยังอาจทำให้ตัวเลขเงินเฟ้อในยูโรโซนสูงขึ้น ซึ่งนั่นจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่กระตุ้นให้นักลงทุนแห่ถือครองทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเงินเฟ้อ
ขณะเดียวกัน นักลงทุนเข้าซื้อทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากปัญหาหนี้ยุโรป โดยเฉพาะความเสี่ยงที่ว่ากรีซอาจจะผิดนัดชำระหนี้หรืออาจจะต้องถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกยูโรโซน นอกจากนี้ ข้อมูลภาคบริการที่อ่อนแอของสหรัฐยังเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำด้วย โดยสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ดัชนีภาคบริการเดือนต.ค.ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 52.9 จุด จากเดือนก.ย.ที่ระดับ 53 จุด