สกุลเงินยูโรอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (4 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนมีความวิตกกังวลก่อนที่จะรับทราบผลว่ารัฐสภากรีซจะลงมติไว้วางใจนายจอร์จ ปาปันเดรอู นายกรัฐมนตรีกรีซหรือไม่ ขณะที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐได้แรงหนุนหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า อัตราว่างงานเดือนต.ค.ปรับตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน
ค่าเงินยูโรอ่อนตัวลง 0.35% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.3764 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 1.3813 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลง 0.31% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.6014 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.6063 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐดีดตัวขึ้น 0.19% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 78.210 เยน จากระดับ 78.060 เยน และพุ่งขึ้น 0.90% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.8864 ฟรังค์ จากระดับ 0.8785 ฟรังค์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลง 0.23% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.0381 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.0405 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์อ่อนตัวลง 0.01% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.7946 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7947 ดอลลาร์สหรัฐ
สกุลเงินยูโรได้รับปัจจัยลบจากความกังวลที่ว่า นายกรัฐมนตรีปาปันเดรอูของกรีซอาจจะเผชิญกับการลงมติไม่ไว้วางใจ หลังจากที่เขาเสนอแผนการจัดทำประชามติเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือจากสหภาพยุโรป (อียู) นอกจากนี้ ยังมีส.ส.พรรคบางคนของร่วมรัฐบาลที่ไม่เห็นด้วยกับการทำประชามติ ซึ่งอาจจะทำให้นายปาปันเดรอูพ่ายแพ้การลงมติในรัฐสภา โดยการลงมติดังกล่าวจะมีขึ้นในเวลาประมาณ 05.00 น.ของวันที่ 5 พ.ย.ตามเวลาประเทศไทย
สกุลเงินยูโรได้รับแรงกดดันอยู่ก่อนแล้ว จากการที่ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 1.25% ในการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2552
นายโรเบิร์ต เบิร์กควิสต์ หัวหน้านักเศรษศาสตร์ของธนาคารเอสอีบีของสวีเดนเตือนว่า การลดอัตราดอกเบี้ยของอีซีบีอาจทำให้เกิดความเสี่ยง และเป็นความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะเกิดขึ้นในปีหน้า ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจจะบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน นอกจากนี้ การตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยของอีซีบียังสะท้อนให้เห็นว่า อีซีบีมองข้ามภารกิจหลักคือการควบคุมเงินเฟ้อในยูโรโซน
ส่วนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐได้แรงหนุนหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนต.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 80,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 13 เดือน ขณะที่อัตราว่างงานดือนต.ค.ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 9% จากระดับ 9.1% ของเดือนก.ย. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนก.ค.ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่า ในระยะเวลา 12 เดือนซึ่งสิ้นสุด ณ เดือนต.ค.นั้น ตัวเลขจ้างงานของสหรัฐเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 125,000 ตำแหน่งต่อเดือน