สกุลเงินยูโรอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (7 พ.ย.) เนื่องจากกระแสความวิตกกังวลที่ว่าวิกฤตหนี้ยุโรปอาจลุกลามไปยังอิตาลี หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของรัฐบาลอิตาลีพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง นอกจากนี้ ภาวะไร้เสถียรภาพทางการเมืองของอิตาลียังทำให้นักลงทุนวิตกกังวลในเรื่องดังกล่าวมากขึ้นด้วย
ค่าเงินยูโรอ่อนตัวลง 0.15% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.3773 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.3794 ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้น 0.13% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.6050 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.6029 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น 0.24% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 78.040 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 78.230 ดอลลาร์สหรัฐ และพุ่งขึ้น 1.84% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.9009 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8846 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียทรงตัวที่ระดับ 1.0372 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์พุ่งขึ้น 0.43% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.7969 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7935 ดอลลาร์สหรัฐ
สกุลเงินยูโรอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากความกังวลที่วา อิตาลีอาจจะเป็นประเทศถัดไปที่ต้องเผชิญกับวิกฤตหนี้และอาจต้องขอรับความช่วยเหลือด้านการเงินเช่นเดียวกับกรีซ หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของรัฐบาลอิตาลีพุ่งขึ้นแตะระดับ 6.57% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันจันทร์
นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะไร้เสถียรภาพทางการเมืองของอิตาลี หลังจากมีรายงานว่านายกรัฐมนตรีซิลวิโอ เบอร์ลุสโคนี กำลังถูกกดดันให้ประกาศลาออก
เศรษฐกิจอิตาลีอ่อนแอลงอย่างมากในปีนี้ โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติของอิตาลี (Istat) เปิดเผยว่า อัตราว่างงานของอิตาลีเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 8.3% ในเดือนกันยายน จาก 8% ในเดือนสิงหาคม ส่วนจำนวนผู้ไม่มีงานทำในอิตาลีอยู่ที่ 2.08 ล้านคนในเดือนกันยายน เพิ่มขึ้น 3.8% จากเดือนสิงหาคม เนื่องจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจส่งผลให้บริษัทต่างๆ ขาดแรงจูงใจในการจ้างงาน
ขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของอิตาลีขยายตัวเพียง 0.3% ในไตรมาส 2 และเมื่อไม่นานมานี้ ฟิทช์ เรทติ้งส์ ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของอิตาลีลงจากระดับ AA- สู่ระดับ A+ เนื่องจากความวิตกที่ว่ารัฐบาลอิตาลีขาดความแข็งแกร่งและความสามารถในการลดหนี้สินที่ระดับสูงของประเทศ
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐได้แรงหนุนจากรายงานของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ระบุว่า ยอดการกู้ยืมเงินของผู้บริโภคในสหรัฐประจำเดือนก.ย.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.5% สู่ระดับ 2.452 ล้านล้านดอลลาร์ จากเดือนส.ค.ที่ระดับ 2.444 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดสินเชื่อและยอดการใช้จ่ายของผู้บริโภคในสหรัฐเริ่มฟื้นตัวขึ้น
ทางการสหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ รวมถึงข้อมูลสต็อกสินค้าภาคค้าส่งเดือนก.ย., ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนก.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, งบประมาณของรัฐบาลกลางเดือนต.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต้นเดือนพ.ย.