กระทรวงการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยข้อมูลในวันนี้ว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายกำกับดูแลด้านการเงินของรัฐบาลญี่ปุ่นได้ทุ่มขายสกุลเงินเยนมูลค่า 4.51 ล้านล้านเยน เพื่อเข้าซื้อสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ในการแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการใช้วงเงินมากที่สุดในการแทรกแซงตลาดเพียงวันเดียว
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวยังไม่มากเท่ากับที่กระทรวงการคลัง และธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) เคยใช้ในการแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราเมื่อวันที่ 31 ต.ค. ซึ่งเทรดเดอร์ในตลาดประมาณการว่า ทางการญี่ปุ่นได้เทขายสกุลเงินเยนทั้งสิ้น 7.5 - 8 ล้านล้านเยน เพื่อเข้าซื้อสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า การแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราในวันดังกล่าวซึ่งก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากประเทศยุโรปบางประเทศนั้น มีขึ้นในช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นกำลังพยายามปกป้องเศรษฐกิจภายในประเทศที่ได้รับความเสียหายอยู่ก่อนแล้วจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิเมื่อเดือนมี.ค. เพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบด้านลบจากการแข็งค่าของเงินเยน
สกุลเงินเยนพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดระดับเดียวกับในช่วงหลังสงครามโลกเป็นเวลาหลายครั้งในช่วง 3 เดือนที่แล้ว โดย ณ วันที่ 31 ต.ค. เงินเยนพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 75.32 เยนต่อดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้ทางการญี่ปุ่นตัดสินใจเข้าแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราในวันเดียวกัน
การแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราในเดือนส.ค.ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย. 2553 ที่ญี่ปุ่นตัดสินใจดำเนินการเพียงประเทศเดียว ซึ่งส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์ดีดขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 80 เยน จากระดับ 77 เยนอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
หลายประเทศในยุโรปได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การแทรกแซงตลาดของญี่ปุ่น โดยแย้งว่าอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศจะต้องถูกกำหนดโดยกลไกลตลาด นอกจากนี้ ประเทศยุโรปยังได้แสดงความกังวลว่า ชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจชาติใดก็ตามที่พยายามบิดเบือนอัตราแลกเปลี่ยนนั้น จะส่งผลกระทบต่อความพยายามในการสนับสนุนจีนให้ปล่อยค่าเงินหยวนให้เคลื่อนไหวอย่างเป็นอิสระ
ด้านรัฐบาลญี่ปุ่นได้แสดงความกังวลว่า การแข็งค่าของเงินเยนอาจจะทำให้กลุ่มผู้ผลิตของญี่ปุ่นพากันย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นๆที่มีต้นทุนที่ถูกกว่า ซึ่งความเคลื่อนไหวในลักษณะเช่นนั้นจะส่งผลกระทบต่อการจ้างงานภายในประเทศของญี่ปุ่น