พาณิชย์ เผย"กิตติรัตน์"นำทีมใช้เวทีเอเปก แจงทั่วโลกถึงแผนฝ่าวิกฤตน้ำ

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday November 9, 2011 16:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวว่า ในการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่าง 11-13 พ.ย.ที่ฮาวาย สหรัฐอเมริกานั้น นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ เดินทางไปประชุมระดับรัฐมนตรีเศรษฐกิจเอเปก พร้อมทั้งเป็นตัวแทนเข้าร่วมประชุมระดับผู้นำด้วย โดยไทยจะอาศัยเวทีเอเปกครั้งนี้ชี้แจงทำความเข้าใจเรื่องมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูประเทศ ภายหลังปัญหาอุทกภัยคลี่คลายลง เพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนต่างประเทศ

อนึ่ง การค้าระหว่างประเทศไทยกับเอเปคในช่วง 9 เดือนแรก(ม.ค.-ก.ย.54) มีมูลค่ารวม 242,973 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แบ่งเป็น การส่งออกประมาณ 124,149 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่า 26% และสินค้านำเข้าคิดเป็นมูลค่า 118,824 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นกว่า 27%

สินค้าส่งออกสำคัญ 10 อันดับแรก ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ 11,412 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 0.01%, ยางพารา 8,531 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 92%, รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 8,304 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 5.4%, แผงวงจรไฟฟ้า 5,684 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 4.3%, น้ำมันสำเร็จรูป 5,408 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 38%,

เม็ดพลาสติก 5,012 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 53%, ผลิตภัณฑ์ยาง 4,496 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 35.7%, เคมีภัณฑ์ 4,445 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 47.3%, อัญมณีและเครื่องประดับ4,290 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 7% และหนังสือและสิ่งพิมพ์ 3,594 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 192% ส่วนสินค้าที่มีแนวโน้มดี ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่นๆ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป น้ำตาลทราย ข้าว เป็นต้น

สำหรับสินค้าสำคัญ ได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 12,153 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นกว่า 23%, เหล็ก เหล็กกลางและผลิตภัณฑ์ 9,217 ล้านหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 30%, เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ 9,005 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 14%, เคมีภัณฑ์ 8,854 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 24%, แผงวงจรไฟฟ้า 7,410 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 5.6% เป็นต้น

ด้านสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว รายงานว่า การสร้างพันธมิตรการค้าด้วยการรวมกลุ่มเขตการค้าเสรีถือว่าเป็นการสร้างแต้มต่อของการขยายตลาดการค้าสินค้า บริการ และการลงทุน ญี่ปุ่นได้ประโยชน์อย่างมากจากระบบการค้าเสรี แต่ที่ผ่านมาญี่ปุ่นมีมาตรการปกป้องผู้ผลิตในประเทศสูง การเข้าร่วมเจรจาเขตการค้าเสรีจึงคืบหน้าไปอย่างเชื่องช้า ซึ่งญี่ปุ่นรู้สึกว่ากำลังสูญเสียอำนาจการแข่งขัน โดยเฉพาะความตกลงภาคพื้นแปซิฟิก(Trans-Pacific Partnership Trade Agreement) หรือ ทีพีพี ที่ญี่ปุ่นต้องตัดสินใจเข้าร่วม ซึ่งคาดว่านายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นจะประกาศเข้าร่วมเจรจาทีพีพีในวันที่ 12 พ.ย.นี้ ผ่านเวทีการหารือทวิภาคีกับสิงคโปร์ ที่ฮอนโนลูลู รัฐฮาวาย ซึ่งเป็นวันแรกของการประชุมผู้นำเอเปค

"รัฐบาลญี่ปุ่นวิเคราะห์ว่า ในภาวะที่ญี่ปุ่นเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจหดตัว การเข้าร่วมทีพีพีจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ จีดีพีของประเทศได้อีก 0.54% หรือคิดเป็นมูลค่า 2.7 ล้านล้านเยนในช่วงเวลา 10 ปีข้างหน้า โดยส่วนใหญ่มาจากการส่งออกไปสหรัฐฯที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น แต่หากญี่ปุ่นไม่เข้าร่วม ก็อาจต้องสูญเสียส่วนแบ่งในตลาดโลกไปถึง 1.53% และแรงงานจำนวนกว่า 8 แสนคน อาจต้องตกงาน ท่ามกลางเสียงคัดค้านของกระทรวงเกษตร ป่าไม้และประมง เพราะเชื่อว่า ทีพีพีจะทำให้ผลผลิตเกษตรของญี่ปุ่นสูญเสียอำนาจการแข่งขัน มูลค่าผลผลิตเกษตรในมูลค่าจีดีพีรวม จะลดลง 7.9 ล้านล้านเยน ยิ่งกว่านั้นจะทำให้ญี่ปุ่นต้องสูญเสียอัตราการพึ่งพาตนเองด้านอาหาร (Food Self-sufficient) อย่างไรก็ตามเรื่องดังกล่าวรัฐบาลญี่ปุ่นได้ร่างกรอบนโยบายและแผนปฏิบัติการสร้างความแข็งแกร่งในภาคเกษตร และส่งเสริมการผลิตใน ฟาร์มขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มรายได้ของครัวเรือนเกษตร และการจัดหาแหล่งเงินเพื่อการลงทุนในภาคเกษตรไว้แล้ว" นางนันทวัลย์ กล่าว

อนึ่ง กลุ่มประเทศที่ตกลงเข้าร่วมแผนริเริ่มข้อตกลงการค้าเสรีทีพีพีแล้ว ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย บรูไน ชิลี มาเลเซีย นิวซีแลนด์ เปรู สิงคโปร์ และเวียดนาม โดยหลักการสำคัญของข้อตกลง คือ อัตราภาษีศุลกากรภายในเขตความร่วมมือ ถูกยกเลิกทั้งหมด กลุ่มอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นกระตุ้นรัฐบาลให้เข้าร่วมทีพีพี ในส่วนของไทย ซึ่งมีเวียดนาม สิงคโปร์ เข้าร่วมก่อน หากไทยเข้าร่วมในภายหลัง ต้องยอมทำข้อตกลงที่ทีพีพีได้ทำไว้ก่อนหน้านี้แล้ว หากไทยเข้าสู่การเจรจาหลังจากนี้ก็จะต้องยอมรับสิ่งที่ 9 ประเทศตกลงกันไปแล้ว และยังต้องให้ข้อแลกเปลี่ยนในฐานะที่เข้าร่วมการเจรจาทีหลังก็ต้องรอว่ารัฐบาลจะมีนโยบายอย่างไร


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ