นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการภาษีและค่าธรรมเนียม และขั้นตอนนำเสนอการระดมทุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน(Infastructure Fund)ของรัฐวิสาหกิจ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้มีการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย ภายใต้ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 เพื่อทำโครงการที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานประเภทต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ได้แก่ ระบบขนส่งทางราง ไฟฟ้า ประปา ถนนหรือทางพิเศษ ทางสัมปทาน ท่าอากาศยาน ท่าเรือน้ำลึก โทรคมนาคม และพลังงานทางเลือกในการผลิตไฟฟ้า ระดมทุนจากนักลงทุนสถาบันและประชาชนทั่วไป อันจะทำให้รัฐบาลสามารถลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่มีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ และก่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนเป็นการแบ่งเบาภาระการคลังของรัฐบาลในระยะยาว รวมทั้งเป็นการช่วยพัฒนาตลาดทุนและช่วยสร้างความโปร่งใสให้กับรัฐวิสาหกิจ โดยสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ทางการเงินในรูปแบบใหม่ตามแผนพัฒนาตลาดทุนไทย
โดยในส่วนของสิทธิประโยชน์ทางภาษีและค่าธรรมเนียม เป็นดังนี้
1.กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน
1.1 ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือบุคคลอื่นและกองทุนรวม สำหรับรายรับและการกระทำตราสารจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใดๆ ในทรัพย์สินให้แก่กองทุนรวมฯ โดยมีสัญญารับโอนกลับคืนจากกองทุนรวมฯ หรือให้แก่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจตามสัญญา
1.2 ลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ดังนี้
- ค่าจดทะเบียนโอน จาก 2% เหลือ 0.01%
- ค่าจดทะเบียนการจำนอง จาก 1% เหลือ 0.01%
- ค่าจดทะเบียนการเช่า จาก 1% เหลือ 0.01% ทั้งนี้ไม่เกิน 1 แสนบาท ให้แก่กองทุนรวมฯ
2.ผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ให้ยกเว้นภาษีเงินปันผลหรือส่วนแบ่งกำไร แก่บุคคลธรรมดาผู้ถือหน่วยลงทุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เป็นระยะเวลา 10 ปี นับตั้งแต่วันที่จดทะเบียนจัดตั้งกองทุน ทั้งนี้รัฐจะสูญเสียรายได้ประมาณ 1,200 ล้านบาท/ปี แต่จะสามารถลดภาระการคลังจากดอกเบี้ยเงินกู้ได้ประมาณปีละ 2,700 ล้านบาท ซึ่งทำให้ภาระการคลังโดยรวมลดลงถึง 1,500 ล้านบาท/ปี
ส่วนขั้นตอนการระดมทุนของรัฐวิสาหกิจนั้น ให้รัฐวิสาหกิจนำเสนอเรื่องผ่านกระทรวงเจ้าสังกัดให้กระทรวงการคลังเป็นผู้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา