สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินของประเทศที่มีรายได้หลักมาจากสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงสกุลเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์และดอลลาร์ออสเตรเลีย ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (17 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนแห่ถือครองดอลลาร์สหรัฐซึ่งเป็นสกุลเงินที่ปลอดภัยในช่วงที่วิกฤตหนี้ยุโรปมีแนวโน้มว่าจะลุกลามออกไปเป็นวงกว้าง ซึ่งความวิตกกังวลในเรื่องดังกล่าวส่งผลให้มีการเทขายหุ้นและสัญญาสินค้าโภคภัณฑ์อย่างหนักเมื่อคืนนี้
สกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลง 0.92% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.9984 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของพุธที่ 1.0077 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ดอลลาร์นิวซีแลนด์ร่วงลง 0.82% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.7576 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7639 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐขยับขึ้น 0.03% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9196 ฟรังค์ จากระดับ 0.9193 ฟรังค์ แต่อ่อนตัวลง 0.14% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 76.950 เยน จากระดับ 77.060 เยน
ค่าเงินยูโรขยับขึ้น 0.05% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.3469 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.3462 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์พุ่งขึ้น 0.22% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.5763 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5729 ดอลลาร์สหรัฐ
สกุลเงินของประเทศที่มีรายได้หลักมาจากสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงสกุลเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์และดอลลาร์ออสเตรเลีย ร่วงลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ หลังจาเกิดแรงเทขายอย่างหนักในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงน้ำมันดิบและทองคำ เนื่องจากจากนักลงทุนกังวลว่าการลุกลามของวิกฤตหนี้ยุโรปอาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและฉุดรั้งอุปสงค์สินค้าโภคภัณฑ์ให้หดตัวลง
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตหนี้ยุโรปทำให้นักลงทุนแห่ถือครองสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐซึ่งเป็นสกุลเงินที่ปลอดภัย หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของรัฐบาลสเปนพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 5 ปี และรัฐบาลสเปนสามารถระดมทุนจากการประมูลขายพันธบัตรอายุ 10 ปีได้เพียง 3.6 พันล้านยูโร (4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายสูงสุดที่กระทรวงการคลังสเปนกำหนดไว้ที่ 4 พันล้านยูโร
ขณะที่ต้นทุนการประกันการผิดนัดชำระหนี้ของฝรั่งเศส สเปน เบลเยียม และอิตาลี ต่างก็พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งยิ่งเพิ่มความผันผวนให้กับตลาดทองคำและทำให้นักลงทุนตัดสินใจเทขายสัญญาทองคำเพื่อถือเงินสดเอาไว้
ส่วนสถานการณ์ในประเทศกรีซนั้น ล่าสุดกระทรวงการคลังกรีซรายงานว่า ยอดขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลางเพิ่มขึ้น 11% สู่ระดับ 2.010 หมื่นล้านยูโร (2.719 หมื่นล้านยูโร) ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ โดยกรีซมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายการคลังตามข้อกำหนดของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และสหภาพยุโรป (อียู) เพื่อให้กรีซมีคุณสมบัติที่จะรับเงินกู้เบิกจ่ายงวดที่ 6 จากองค์กรดังกล่าวและเพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้
ด้านอิตาลี นายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอิตาลี ได้แถลงแผนการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศและลดหนี้สาธารณะต่อวุฒิสภาในช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทย โดยกล่าวว่า เขามีเป้าหมายที่จะกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศ และดำเนินมาตรการรัดเข็มขัดอย่างเร่งด่วน ซึ่งหนึ่งในภารกิจหลักที่รัฐบาลต้องรีบดำเนินการเป็นลำดับแรกคือ การลดอัตราส่วนหนี้ต่อจีดีพี ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระดับสูงถึง 120% และทำให้งบประมาณกลับสู่ภาวะสมดุลให้ได้ภายในปี 2556
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาหที่สิ้นสุดวันที่ 12 พ.ย.ปรับตัวลดลง 5,000 ราย สู่ระดับ 388,000 ราย ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 395,000 ราย
นักลงทุนจับตาดูดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนต.ค.ของสหรัฐซึ่งคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด จะเปิดเผยในวันนี้เวลา 22.00 น.ตามเวลาไทย โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าดัชนีชี้นำเดือนต.ค.จะเพิ่มขึ้น 0.6% หลังเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ย.