หนังสือพิมพ์จาการ์ต้าโพสต์ของอินโดนีเซียรายงานวันนี้ว่า ธนาคารโลกระบุเศรษฐกิจอินโดนีเซียเผชิญความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลดลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย
หนังสือพิมพ์อ้างคำกล่าวของนายเอนริเก้ บลังโก อาร์มัส นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำธนาคารโลกว่า ธนาคารโลกปรับลดเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซียลงมาอยู่ที่ 6.3% ซึ่งลดลงเล็กน้อยจากที่คาดการณ์ไว้ที่ 6.4% ในปีนี้
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอินโดนีเซียยังคงคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ที่ 6.5% และ 6.7% ในปีหน้า แม้ว่าเศรษฐกิจโลกเผชิญกับความไม่แน่นอนมากขึ้นก็ตาม
ธนาคารกลางอินโดนีเซียและนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกที่ซบเซาจะไม่ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์สินค้าส่งออกของอินโดนีเซียมากนัก เนื่องจากสินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าพื้นฐาน อาทิเช่น สินค้าจากแหล่งทรัพยากรธรรมชาติและสินค้าพืชผล ขณะเดียวกันธนาคารโลกระบุว่า อัตราการอุปโภคบริโภคในปริมาณมากในอินโดนีเซียซึ่งมีประชากร 240 ล้านคนและการลงทุนที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นนั้น จะสามารถกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจได้
“ภาคการบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่งซึ่งหนุนโดยการบริโภคส่วนบุคคลและการลงทุนนั้น จะยังคงเป็นปัจจัยส่งเสริมการเติบโตในปีหน้าเช่นเดียวกันกับในปีนี้" นายอาร์มัสกล่าวโดยอ้างอิงถึงการแก้ปัญหาวิกฤตหนี้ยุโรปที่ไม่เป็นระบบ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดต่ำลง
รายงานของธนาคารโลกระบุถึงความเสี่ยงของอินโดนีเซียว่า “ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 ยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะเกิดจากเงินอุดหนุนเชื้อเพลิง ภาวะเงินเฟ้อยังคงเป็นความเสี่ยงเช่นกัน เมื่อพิจารณาถึงความอ่อนไหวต่อวิกฤตราคาอาหารภายในประเทศ"
รายงานข่าวยังระบุว่า ในระยะกลาง การไหลเข้าของเงินทุนอาจจะเกิดขึ้นในอินโดนีเซียอีกครั้งเช่นเดียวกับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อื่นๆ เนื่องจากการเติบโตสูงและผลตอบแทนในเชิงเปรียบเทียบ
“ความท้าทายในการจัดการการไหลเข้าของเงินทุนจะกลับมาเป็นจุดสนใจอีกครั้ง" รายงานข่าวดังกล่าวเผยโดยระบุเสริมว่า ธนาคารกลางของอินโดนีเซียมุ่งเน้นไปที่นโยบายควบคุมความเสี่ยงของเศรษฐกิจมหภาค สำนักข่าวซินหัวรายงาน