พนักงานของสหภาพแรงงานหลายแห่งในโปรตุเกสได้ก่อเหตุประท้วงครั้งใหญ่ในวันนี้ ส่งผลให้เที่ยวบินต้องหยุดชะงักและรถไฟใต้ดินในกรุงลิสบอนต้องหยุดให้บริการ โดยการประท้วงครั้งนี้พุ่งเป้าไปที่การคัดค้านมาตรการรัดเข็มขัดที่รัฐบาลโปรตุเกสประกาศใช้เพื่อแลกกับการรับเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ
สถานีรถไฟใต้ดินกรุงลิสบอนจะปิดให้บริการจนถึงเวลา 01:00 ของวันพรุ่งนี้ (ตามเวลาท้องถิ่น) ขณะที่เที่ยวบินส่วนใหญ่จากกรุงลิสบอนที่มุ่งหน้าไปยังโอปอร์โตได้ถูกยกเลิกเช่นกัน
นายกรัฐมนตรีเปโดร ปาซอส โคเอลโญของโปรตุเกสได้ประกาศใช้มาตรการรัดเข็มขัด ซึ่งครอบคลุมถึงการเพิ่มวงเงินที่จะต้องลดการใช้จ่าย พร้อมกับเก็บภาษีเพิ่ม เพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุไว้เพื่อแลกกับเงินช่วยเหลือ 7.8 หมื่นล้านยูโรจากสหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)
นอกจากนี้ รัฐบาลโปรตุเกสยังได้วางแผนที่จะลดยอดขาดดุลงบประมาณลงสู่ระดับ 5.9% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในปีนี้ และจะปรับลงมาอยู่ที่ระดับ 4.5% ของจีดีพีในปีหน้า
สหภาพแรงงานซีจีทีพีกล่าวว่า คนงานจากท่าเรือ ศาลากลางบางแห่ง และที่ทำการไปรษณีย์ต่างเข้าร่วมขบวนประท้วงครั้งนี้ด้วย ขณะที่เว็บไซต์รัฐบาลระบุว่า พนักงานของรัฐบาลกลางประมาณ 3.6% ออกมาประท้วงในเวลา 11.30 น. (ตามเวลาท้องถิ่นในวันนี้) ด้วยเช่นกัน
คณะกรรมาธิการยุโรปคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโปรตุเกสจะหดตัวลง 3% ในปีหน้า แต่อาจจะขยายตัวขึ้น 1.1% ในปี 2555 ส่วนอัตราว่างงานของโปรตุเกสในไตรมาส 3 พุ่งขึ้นสู่ระดับ 12.4% ขณะที่รัฐบาลคาดการณ์ว่า อัตราว่างงานจะพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 13.4% ในปี 2555 ก่อนที่จะเริ่มปรับตัวลดลงในปี 2556
เหตุการณ์ประท้วงครั้งใหญ่ในวันนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่ฟิทช์ เรทติ้งส์ ได้ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของโปรตุเกสลง 1 ขั้น สู่ระดับ BB+ หรือ "ระดับขยะ" จากระดับ BBB- เนื่องจากตัวเลขหนี้สินที่อยู่ในระดับสูงในทุกภาคส่วน และแนวโน้มเศรษฐกิจทที่ย่ำแย่