นายบุญช่วย เจียดำรงค์ชัย รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการ ธ.ก.ส.ซึ่งมีนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลังเป็นประธาน มีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินการรับจำนำข้าวเปลือกในยุ้งฉางเกษตรกรตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี 2554/2555 ซึ่งจะครอบคลุมพื้นที่ปลูกข้าวเปลือกหอมมะลิและข้าวเปลือกเหนียวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ จำนวนเป้าหมายประมาณ 1 ล้านตัน
โดยกำหนดราคารับจำนำข้าวเปลือกที่ความชื้นไม่เกิน 15% คือ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 20,000 บาท ข้าวเปลือกเหนียว (เมล็ดยาว) ตันละ 16,000 บาท ข้าวเปลือกเหนียว (เมล็ดสั้น) ตันละ 15,000 บาท กำหนดระยะเวลารับจำนำเริ่มตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2554 - 29 กุมภาพันธ์ 2555 กำหนดระยะเวลาไถ่ถอนและรับชำระคืนเงินกู้ให้เสร็จส้นภายใน 4 เดือน นับถัดจากเดือนที่รับจำนำ
ส่วนคุณสมบัติในการเข้าร่วมโครงการ ต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2554/55 กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้ผลิตข้าวเปลือกและมีกรรมสิทธิ์เป็นของตนเอง มียุ้งฉางที่มั่นคง สามารถเก็บข้าวเปลือกไว้ได้ตลอดระยะเวลาที่จำนำ
ทั้งนี้ เมื่อครบกำหนดไถ่ถอนเกษตรกรต้องนำข้าวเปลือกหลุดจำนำมาส่งมอบยังจุดระบายข้าวเปลือกที่กำหนด ซึ่งจะได้ค่าใช้จ่ายในการขนย้ายตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินตันละ 300 บาท
หากเกษตรกรไม่ส่งมอบข้าวเปลือกหลุดจำนำ หรือส่งมอบไม่ครบตามจำนวนที่จำนำไว้ ธ.ก.ส.จะคิดดอกเบี้ยของต้นเงินกู้คงเหลือนับถัดจากวันกู้ถึงวันครบกำหนดไถ่ถอนในอัตรา MRR และคิดดอกเบี้ยถัดจากวันกู้ถึงวันครบกำหนดไถ่ถอนจนถึงวันที่เกษตรกรชำระหนี้เสร็จสิ้นในอัตราสูงสุดคือ MRR+3 บวกเบี้ยปรับอีกร้อยละ 3 ต่อปี นอกจากนี้ในกรณีมีปัญหาคุณภาพข้าวเปลือกไม่ตรงกับที่รับจำนำไว้ เนื่องจากมีการสับเปลี่ยนข้าวหรือนำข้าวที่คุณภาพต่ำกว่าที่จำนำมาทดแทน เกษตรกรจะต้องรับผิดชอบ
ส่วนเกษตรกรที่ได้ประสบปัญหาอุทกภัยจนยุ้งฉางเสียหายไม่สามารถเข้าร่วมโครงการรับจำนำได้ จะใช้หลักเกณฑ์การเยียวยาเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ซึ่งล่าสุด ธ.ก.ส.ออก 4 มาตรการเยียวยา โดยจ่ายค่าชดเชย ฟื้นฟู ซ่อมแซม เสริมสร้างอาชีพ