ในขณะที่รายงานของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่มีการเปิดเผยเมื่อไม่นานมานี้เตือนว่า มีความเสี่ยงที่โลกจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย นักเศรษฐศาสตร์ของยูเอ็นกล่าวว่า การที่กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วจะสามารถยับยั้งวิกฤติหนี้หรือไม่ เป็นสิ่งสำคัญต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 2555
นายหง ผิงฟาน หัวหน้าด้านกำกับดูแลเศรษฐกิจโลกของฝายกิจการเศรษฐกิจและสังคม (DESA) ของยูเอ็นกล่าวกับสำนักข่าวซินหัวในการให้สัมภาษณ์เมื่อไม่นานมานี้ว่า ความไม่แน่นอนและความเสี่ยงของสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปีหน้าส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว
"กลุ่มประเทศเหล่านี้กำลังเผชิญกับความอ่อนแอ 4 ด้านในเรื่องปัญหาหนี้, ภาคการธนาคารที่เปราะบาง, อุปสงค์โดยรวมที่อ่อนแอ รวมทั้งการว่างงานที่ระดับสูงและมาตรการรัดเข็มขัดทางการคลัง และการหยุดชะงักด้านนโยบายที่เกิดจากปัญหาการเมืองและความบกพร่องของสถาบัน ความอ่อนแอทั้งหมดเหล่านี้เสริมแรงซึ่งกันและกัน" นายหงกล่าว
"ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้กลุ่มประเทศที่มั่งคั่งเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ยังส่งผลกระทบรุนแรงต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและความมีเสถียรภาพของกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาผ่านทางการค้าและการคลังระหว่างประเทศ" เขากล่าว
รายงานของยูเอ็นที่เปิดเผยโดย DESA เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาในนิวยอร์กระบุว่า มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะเกิดช่วงขาลงทั่วโลกอีกครั้ง ถ้ากลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วดำเนินมาตรการรัดเข็มขัดด้านการคลังเร็วเกินไป
รายงานระบุว่า ปี 2555 จะเป็นปี"แห่งความคืบหน้าหรือความย่ำแย่"สำหรับเศรษฐกิจ โดยคาดถึงภาวะที่ต้องฝ่าฟันความยากลำบาก โดยเศรษฐกิจโลกจะยังคงขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวที่ราว 2.6% ในปีหน้า และ 3.2% สำหรับปี 2556 ลดลงจาก 4.0% ในปี 2553 อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่า ภาวะนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อสามารถยับยั้งวิกฤติหนี้ยูโรโซน และถ้าการดำเนินการต่อไปไปสู่การรัดเข็มขัดทางการคลังที่เข้มงวดมากขึ้นในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วหยุดลง
นายหงกล่าวว่า มีความวิตกเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในยุโรปในปี 10 ปีข้างหน้า
เขากล่าวว่า ทันทีที่วิกฤติหนี้ยูโรโซนรุนแรงเกินควบคุม ธนาคารพาณิชย์ในภูมิภาคจะขาดทุนอย่างหนัก ซึ่งจะทำให้เกิดวิกฤติสินเชื่อที่จะนำไปสู่การทรุดตัวลงของตลาดการเงินอย่างที่เกิดจากการล้มละลายของเลห์แมน บราเธอร์สในปี 2551 และจะทำให้เกิดความผันผวนทางการเงินและช่วงขาลงทางเศรษฐกิจครั้งใหม่ในยุโรป