ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำคุกนายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ(บีบีซี), กับพวกซึ่งเป็นอดีตผู้บริหารบีบีซีเป็นจำเลยที่ 1-3 คนละ 20 ปี ปรับ 1,157 ล้านบาท และร่วมกันชดใช้เงินคืนบีบีซี 589 ล้านบาท เนื่องจากกระทำการร่วมกับนายราเกซ สักเสนา อดีตที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ ยักยอกทรัพย์บีบีซี มูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท เมื่อเดือน พ.ค.38
คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 19 เม.ย.50 ว่าจำเลยทั้งสามกระทำผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ มาตรา 33, 37-39 และ 311 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352-354 อันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรม โดยลงโทษบทหนักสุดฐานเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทุจริตต่อหน้าที่
ทั้งนี้ ศาลสั่งให้จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 2 กระทง ๆ ละ 10 ปีรวมจำคุก คนละ 20 ปี และให้ปรับ 1,157,244,186.28 บาท พร้อมให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้เงินคืนแก่บีบีซี จำนวน 589,622,043.04 บาท และให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากคดีที่ศาลอาญากรุงเทพใต้และศาลอาญามีคำพิพากษาแล้ว 5 สำนวนที่ให้จำคุกจำเลยที่ 1 รวม 70 ปีด้วย ขณะที่จำเลยทั้งสามยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์มีพยานหลายปากเบิกความสอดคล้องรับฟังได้ว่าขณะเกิดเหตุจำเลยทำสัญญา 2 ฉบับที่ให้มีโอนแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์ที่เป็นพันธบัตรประเทศอาร์เจนตินาและเวเนซูเอล่า มูลค่ากว่า 56 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากทำสัญญาแล้วจะต้องมีการโอนหลักทรัพย์ตามที่ระบุในสัญญา 18 พ.ค.38 แต่ไม่มีการดำเนินการ และบีบีซีไม่ได้รับดอกเบี้ยทุก 6 เดือนตามที่ระบุในสัญญา
โดยการทำสัญญานั้นจำเลยที่ 1 ไม่เคยนำโครงการเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบีบีซีให้พิจารณาตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กำหนด และหลังจากควบรวมบีบีซี เมื่อมีการติดตามทรัพย์สินในต่างประเทศพบว่าไม่เคยมีการโอนหลักทรัพย์จากการทำสัญญา แต่นายราเกซและจำเลยที่ 1 เปิดบริษัทรับดูแลการโอนหลักทรัพย์ และยังพบการเคลื่อนไหวบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์และกระแสรายวันของกลุ่มจำเลยกับบุคคลอื่นด้วยขณะเดียวกันยังพบว่านายราเกซ ยังได้โอนเงินเข้าบัญชีจำเลยที่ 2-3
ส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าสัญญาเป็นเอกสารเท็จ และจำเลยที่ 3 อ้างว่าไม่เคยเจรจาทำสัญญานั้นฟังไม่ขึ้น เนื่องจากจำเลยที่ 3 เป็นถึงผู้บริหารลงนามแทนโจทก์ร่วมได้ และยังได้นำสัญญาให้จำเลยที่ 1 พิจารณา การกระทำแสดงให้เห็นว่าร่วมดำเนินกันเป็นขั้นตอน ที่ศาลชั้นตันพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสามนั้นชอบแล้ว อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้นพิพากษายืนเป็นเวลา 20 ปี ในคดีร่วมกันยักยอกทรัพย์บีบีซี รวมกว่า 1,200 ล้านบาท
ศาลอุทธรณ์ได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่าพยานโจทก์ ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงฝ่ายต่างประเทศเบิกความได้สอดคล้องกัน มีหลักฐานยืนยันว่าจำเลยร่วมกันยักยอกทรัพย์บีบีซีจริง จึงพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น