สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX เดือนม.ค.ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิก ปรับตัวลง 25 เซนต์ แตะที่ 101.03 ดอลลาร์/บาร์เรล ณ เวลา 12.54 น.ตามเวลาลอนดอนในวันนี้ จากความวิตกกังวลว่า วิกฤตหนี้ยุโรปอาจไม่ได้รับการแก้ไขในการประชุมสุดยอดสหภาพยุโรป (อียู) อย่างที่คาดหวังกันไว้ในตอนแรก หลังจากที่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของรัฐบาลเยอรมนีออกมาเปิดเผยว่า รัฐบาลเยอรมนีมีมุมมองในแง่ลบมากขึ้นเกี่ยวกับผลของการประชุมอียู ซัมมิท วันศุกร์นี้
ราคาน้ำมันลดลงเป็นครั้งแรก หลังจากที่ปรับตัวขึ้นมาสามวันติดต่อกัน โดยเมื่อคืนนี้ (6 ธ.ค.) สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX ปิดบวก 29 เซนต์ แตะที่ 101.28 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย.
โดยราคาน้ำมันอ่อนตัวลง ขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐดีดตัวขึ้นเมื่อเทียบกับยูโร หลังจากที่เจ้าหน้าที่ซึ่งไม่เปิดเผยชื่อ ระบุว่า รัฐบาลของนางอังเกลา แมร์เคล ปฏิเสธข้อเสนอที่ให้มีการรวมกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) ซึ่งเป็นกองทุนปัจจุบัน เข้ากับกลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป (ESM) ซึ่งเป็นกองทุนช่วยเหลือยูโรโซนถาวรที่จะมาแทนที่กองทุน EFSF พร้อมทั้งแสดงมุมมองในเชิงลบต่อผลการประชุมสุดยอดอียูซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 8-9 ธ.ค.นี้ที่กรุงบรัสเซลส์
ทั้งนี้ เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับยูโร ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้การเข้าลงทุนในตลาดน้ำมันมีความน่าดึงดูดน้อยลง เพราะเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าทำให้สัญญาน้ำมันที่ซื้อขายกันในสกุลเงินดอลลาร์มีราคาแพงขึ้นสำหรับนักลงทุนที่ถือสกุลเงินยูโร หรือสกุลเงินอื่นๆ
ก่อนหน้าที่เจ้าหน้าที่เยอรมันจะออกมาแสดงความเห็นในเชิงลบดังกล่าวนั้น เงินยูโรได้ปรับตัวสูงขึ้น และสัญญาน้ำมันก็บวกขึ้นเช่นกัน เพราะได้ปัจจัยหนุนจากคำกล่าวของนายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รมว.คลังสหรัฐ หลังจากเข้าพบรมว.คลังฝรั่งเศสที่กรุงปารีสว่า เขายินดีที่ได้เห็นความคืบหน้าในการหาทางคลี่คลายวิกฤตหนี้สาธารณะของรัฐบาลประเทศต่างๆในยุโรป และเขามั่นใจว่า ยุโรปจะประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว