ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กเปิดตลาดพุ่งขึ้นในวันนี้ หลังจากที่ประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) เห็นพ้องกันว่าให้มีการกำหนด "บทบัญญัติทางการคลัง"ฉบับใหม่ ซึ่งมีเป้าหมายที่จะแก้ไขวิกฤตหนี้ยุโรป นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนหลังจากรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้นเดือนธ.ค.ของสหรัฐ พุ่งขึ้นแตะระดบสูงสุดในรอบ 6 เดือน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์เปิดตลาดบวก 77.65 จุด หรือ 0.65% แตะที่ 12,075.35 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 9.84% หรือ 0.8% แตะที่ 1,244.52 จุด และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 15.92 จุด หรือ 0.61% แตะที่ 2,612.10 จุด
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กเปิดตลาดในแดนบวก ขานรับข่าวที่ว่า ที่ประชุมอียู เห็นพ้องกันว่าให้มีการกำหนด "บทบัญญัติทางการคลัง" (fiscal compact) ฉบับใหม่ ที่ตั้งอยู่บนสนธิสัญญาระหว่างรัฐบาล (inter-governmental treaties) และการประสานนโยบายเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งมากขึ้น แทนการเปลี่ยนแปลงสนธิสัญญาของอียู โดยมีเป้าหมายหลักคือการแก้ไขวิกฤตหนี้ยุโรป
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมผู้นำอียูยังไม่สามารถระดมเสียงสนับสนุนได้มากพอที่จะทำให้บทบัญญัติดังกล่าวได้รับการรับรองจากสนธิสัญญาใหม่ของ 27 ชาติสมาชิกอียู หลังจากอังกฤษยังปฏิเสธที่จะให้การสนับสนุนบทบัญญัติดังกล่าว เพื่อคุ้มครองภาคการเงินภายในประเทศของตนเอง
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้แรงหนุนหลังจากรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนเปิดเผยว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้นเดือนธ.ค.ของสหรัฐ พุ่งขึ้นสู่ระดับ 67.7 จุด เมื่อเทียบกับช่วงท้ายเดือนพ.ย.ที่ระดับ 64.1 จุด ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ที่ 65.5 จุด
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้นเดือนธ.ค.อยู่ในระดับสูงสดในรอบ 6 เดือน และเป็นการปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 หลังจากมีสัญญาณบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของตลาดแรงงานและแนวโน้มเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ