สกุลเงินยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (16 ธ.ค.) แต่การแข็งค่าลดลงจากการซื้อขายช่วงแรก หลังจากที่ฟิทช์ เรทติ้งส์ เตือนว่าอาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของฝรั่งเศส และอีกหกประเทศในยูโรโซน นำโดยอิตาลี สเปน และเบลเยียม ขณะที่ยังคงไร้ทางแก้ปัญหาหนี้สาธารณะที่ยืดเยื้อมาสองปีแล้ว
ค่าเงินยูโรปรับตัวขึ้น 0.15% แตะระดับ 1.3035 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 1.3015 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลง 0.14% เมื่อเทียบกับเงินเยน มาแตะที่ 77.790 เยน จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 77.900 เยน และลดลง 0.40% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9361 ฟรังค์ จากระดับ 0.9399 ฟรังค์ แต่แข็งค่าขึ้น 0.27% เมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.0373 จากระดับ 1.0345 เมื่อวันพฤหัสบดี
ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้น 0.07% แตะระดับ 1.5518 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5507 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียบวก 0.52% แตะระดับ 0.9966 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.9914 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์พุ่งขึ้น 1.12% แตะที่ 0.7608 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7524 ดอลลาร์สหรัฐ
บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ฟิทช์ เรทติ้งส์ ได้ประกาศทบทวนแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของหกประเทศในยูโรโซน ได้แก่ อิตาลี สเปน เบลเยียม ไอร์แลนด์ สโลวีเนีย และไซปรัส และระบุว่า ฝรั่งเศสมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตหนี้มากกว่าประเทศชั้นนำอื่นๆในยูโรโซน
คำเตือนของฟิทช์ได้สร้างแรงกดดันให้กับสกุลเงินยูโร อย่างไรก็ดี เงินยูโรยังสามารถพยุงตัวที่ระดับ 1.30 ดอลลาร์ เนื่องจากเทรดเดอร์ส่วนใหญ่มองว่า ยูโรอาจถูกเทขายมากเกินไปแล้วในช่วงหลายวันที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน วานนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) เดือนพฤศจิกายน ยังคงทรงตัวอยู่ที่ระดับเดียวกับเดือนก่อน หลังจากที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง สอดคล้องกับมุมมองของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ระบุว่า อัตราเงินเฟ้ออยู่ภายใต้การควบคุม
รายงานของกระทรวงฯ ระบุว่า ดัชนีซีพีไอเดือนพฤศจิกายนยังคงทรงตัวอยู่ที่ระดับเดิม หลังจากที่ลดลง 0.1% ในเดือนตุลาคม ส่วนดัชนีซีพีไอพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนพฤศจิกายน ส่งสัญญาณว่าความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อได้บรรเทาลง