นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า ในปี 55 ตลาดเงินจะมีความผันผวนสูงกว่าปี 54 โดยคาดว่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในช่วง 29.50-33.00 บาท/ดอลลาร์ จากปลายปี 54 ที่เงินบาทจะอยู่ที่ 29.50 บาท/ดอลลาร์
"เงินบาทในปีหน้าผันผวนสูง เนื่องจากยังมีเงินทุนไหลเข้าตลาดเอเชีย เหตุเป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตสูง ขณะที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของยูโรโซนและสหรัฐฯ น่าจะใช้วิธีการอัดฉีดสภาพคล่องหรือผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อเสริมให้มีเงินหมุนเวียนในระบบ" นายธิติ กล่าว
นายธิติ กล่าวอีกว่า ในปีหน้าเป็นปีที่ประเมินทิศทางค่าเงินบาทได้ยากว่าจะอ่อนค่าหรือแข็งค่าในทางใดทางหนึ่ง ขึ้นอยู่กับการแก้ปัญหาหนี้สินในยุโรป แต่มองว่า ในช่วงไตรมาส 1-2/55 หากมีข่าวในทางไม่ดี และเป็นความเสี่ยงเกี่ยวกับตลาดเงินโลกจะทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่า ดังนั้นมีโอกาสที่จะเห็นเงินบาทอ่อนค่าแตะระดับ 33 บาท/ดอลลาร์ได้ในช่วงครึ่งปีหลัง แต่หลังจากนั้นหากยุโรปสามารถแก้ปัญหาได้ เงินบาทจะกลับมาแข็งค่าได้อีกจนถึงระดับ 29.50 บาท/ดอลลาร์
"ปีหน้าคาดการณ์ได้ยาก เพราะไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่ายุโรปจะแก้ปัญหาได้หรือไม่ และแก้ไขได้เมื่อไร ดังนั้นแนะให้ลูกค้าปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนไว้ก่อน เพราะเป็นเรื่องที่คาดการณ์ทิศทางค่าเงินบาทได้ยาก แต่จะยังผันผวนอยู่" นายธิติ กล่าว
ส่วนทิศทางดอกเบี้ยในปีหน้า คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดดอกเบี้ยลง 0.25% อีกครั้งในการประชุมเดือน ม.ค.55 แต่หลังจากนั้นยังประเมินทิศทางได้ยากเช่นกัน โดยต้องรอประเมินภาพรวมเศรษฐกิจเป็นหลัก รวมถึงประเมินผลกระทบที่เกิดจากน้ำท่วมในปีนี้
สำหรับปี 55 ธนาคารวางเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำด้านงานที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดหาสินเชื่อร่วม รวมถึงโครงการลงทุนขนาดใหญ่ เช่นโรงไฟฟ้าพลังน้ำ พลังงานทดแทน ทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน โดยธนาคารมุ่งเสนอบริการที่ครบวงจร ให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า ทั้งการจัดหาเงินทุนและบริหารความเสี่ยง โดยคาดว่าจะมีปริมาณการปล่อยสินเชื่อโครงการและสินเชื่อร่วม (Syndicated Loan) เพื่อการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของระบบธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ 3.41 แสนล้านบาท โดยที่ธนาคารจะยังคงความเป็นผู้นำในการจัดการ Syndicated Loan เป็นมูลค่า 8 หมื่นล้านบาท หรือมีส่วนแบ่งการตลาด 22% จากปี 54 ที่ Syndicated Loan ของระบบธนาคารพาณิชย์ มีมูลค่า 3.33 แสนล้านบาท ในส่วนนี้เป็นสินเชื่อโครงการที่มีสัดส่วนสูงที่สุด 27% หรือประมาณ 9 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในธุรกิจพลังงานไฟฟ้า
นอกจากนี้ ในขณะนี้ธนาคารมีดีลในการจัดหาเงินทุนให้ลูกค้า 4-5 ราย ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจโรงไฟฟ้า ทั้งลักษณะสินเชื่อร่วม Project Finance และ Infrasturcture Fund มูลค่าโครงการรวม 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะปิดดีลได้ในปีหน้า รวมไปถึงยังมีดีลควบรวม/ซื้อกิจการ อยู่ระหว่างดำเนินการอีกหลายราย ทั้งในและต่างประเทศ มีทั้งอุตสาหกรรมบริการ แต่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะปิดดีลได้เมื่อไร ขึ้นอยู่กับการเจรจาของสองฝ่าย
ในส่วนตลาดตราสารหนี้ไทยในปี 55 คาดว่า ภาคเอกชนจะออกตราสารหนี้รวมมูลค่า 3 แสนล้านบาท โดยธนาคารตั้งเป้ามีส่วนแบ่งตลาดที่ 20% หรือคิดเป็นมูลค่า 6 หมื่นล้านบาท ในขณะที่การค้าตราสารหนี้ในตลาดรอง คาดว่าจะมีมูลค่าการซื้อขาย 25.4 ล้านล้านบาท โดยธนาคารตั้งเป้ามีส่วนแบ่งตลาด 15% จากปี 54 ที่มีภาคเอกชนระดมทุนด้วยการออกหุ้นกู้ มูลค่าร่วม 2.46 แสนล้านบาท โดยธนาคารทำหน้าที่เป็นผู้จัดจำหน่าย 3.5 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 14% ในขณะที่ทั้งปี 54 คาดว่าจะมีปริมาณซื้อขายตราสารหนี้ของภาครัฐและเอกชนในตลาดรองมากกว่า 23 ล้านล้านบาท