BOI เผยยอดขอรับส่งเสริมฯ1 ม.ค.-23 ธ.ค.54 ลงทุนรวม 6.6 แสนลบ.ทะลุเป้า

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday December 29, 2011 13:52 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงวันที่ 23 ธ.ค.54 มีนักลงทุนยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจำนวน 1,847 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 663,600 ล้านบาท โดยโครงการปรับเพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนปี 23 ที่มี 1,524 โครงการ ในขณะที่เงินลงทุนปรับเพิ่มขึ้น 61% เมื่อเทียบกับปี 53 ที่มีมูลค่าอยู่ที่ 412,000 ล้านบาท

“นักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในไทย ตลอดทั้งปี แม้ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ประเทศไทยจะเผชิญกับภัยธรรมชาติ จนทำให้การลงทุนอาจชะลอลงบ้าง แต่โดยภาพรวมการลงทุนในประเทศไทยยังสามารถขยายตัวได้ โดยมูลค่าการลงทุนปีนี้เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 500,000 ล้านบาท หรือเกินเป้าหมายไปถึงกว่าร้อยละ 32"นพ.วรรณรัตน์ กล่าว

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)คาดว่าทิศทางการเติบโตของการลงทุนจะต่อเนื่องไปจนถึงปี 55 ซึ่งรัฐบาลจะเร่งสร้างความเชื่อมั่นด้านการลงทุนผ่านกิจกรรมต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศตลอดทั้งปี งานแรกจะเริ่มด้วยงานบีโอไอแฟร์ 2011 ที่จะมีผู้บริหาร และซีอีโอบริษัทต่างประเทศเข้าร่วมงาน ซีอีโอฟอรั่มเพื่อรับฟังทิศทางและนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย รวมทั้งแนวทางการรับมือกับความท้าทายและภาวะเศรษฐกิจโลก

สำหรับกิจการที่มีมูลค่ายื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนสูงสุด ได้แก่ กิจการบริการและสาธารณูปโภค จำนวน 401 โครงการ เงินลงทุน 251,100 ล้านบาท จำนวนโครงการใกล้เคียงกับปีก่อนที่มี 406 โครงการ ด้านมูลค่าเงินลงทุนปรับเพิ่มขึ้น 80% จากปีก่อนที่มีมูลค่าอยู่ที่ 139,700 ล้านบาท

รองมาเป็นกิจการ ผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่ง จำนวน 478 โครงการ เงินลงทุน 130,500 ล้านบาท โครงการปรับเพิ่มขึ้น 56% จากปีก่อนที่มี 306 โครงการ ในขณะที่เงินลงทุนปรับเพิ่มขึ้น 130% จากปีก่อนที่มีมูลค่าเงินลงทุนที่ 56,700 ล้านบาท

กิจการ อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องไฟฟ้า จำนวน 259 โครงการ เงินลงทน 86,700 ล้านบาท โครงการปรับเพิ่มขึ้น 16% จากปีก่อนที่มี 223 โครงการ เงินลงทุนปรับเพิ่มขึ้น 34% จากปีก่อนที่มีมูลค่าอยู่ที่ 65,400 ล้านบาท กิจการ เคมี กระดาษ และพลาสติก มีจำนวน 227 โครงการ เงินลงทุน 84,000 ล้านบาท โครงการปรับเพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อนที่มี 206 โครงการ ด้านมูลค่าเงินลงทุนปรับเพิ่มขึ้น 105% จากปีก่อนที่มีมูลค่าอยู่ที่ 40,500 ล้านบาท

กิจการเกษตรกรรม และผลิตผลจากการเกษตร มี 307 โครงการ เงินลงทุน 67,000 ล้านบาท โครงการปรับเพิ่มขึ้น 22% จากปีก่อนที่มี 251 โครงการ ขณะที่เงินลงทุนเพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อนที่มีมูลค่าอยู่ที่ 60,700 ล้านบาท กิจการเหมืองแร่ เซรามิกส์ และโลหะขั้นมูลฐาน 52 โครงการ เงินลงทุน 29,300 ล้านบาท โครงการปรับเพิ่มขึ้น 53% จากปีก่อนที่มี 34 โครงการ ด้านมูลค่าเงินลงทุนใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีมูลค่าอยู่ที่ 37,500 ล้านบาท และกิจการอุตสาหกรรมเบา 123 โครงการ เงินลงทุน 15,300 ล้านบาท โครการปรับเพิ่มขึ้น 25.5% จากปีก่อนที่มี 98 โครงการ ด้านมูลค่าเงินลงทุนปรับเพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อนที่มีมูลค่าอยู่ที่ 11,700 ล้านบาท

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีจำนวน 1,019 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 390,920 ล้านบาท โดยจำนวนโครงการปรับเพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อนที่มี 863 โครงการ ด้านมูลค่าเงินลงทุนปรับเพิ่มขึ้น 67% จากปีก่อนที่มีมูลค่าอยู่ที่ 234,611 ล้านบาท โดยนักลงทุนจากญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนสูงสุด อยู่ที่ 543 โครงการ เงินลงทุน 187,750 ล้านบาท โครงการปรับเพิ่มขึ้น 50% จากปีก่อนที่มี 362 โครงการ ด้านมูลค่าเงินลงทุนปรับเพิ่มขึ้น 82% จากปีก่อนที่มี 103,045 ล้านบาท

สำหรับกลุ่มนักลงทุนจากต่างประเทศรองจากญี่ปุ่น คือ ประเทศจีน มีจำนวน 34โครงการ เงินลงทุน 28,447 ล้านบาท สิงคโปร์ จำนวน 51 โครงการ เงินลงทุน 23,706 ล้านบาท ฮ่องกง จำนวน 32โครงการ เงินลงทุน 13,261 ล้านบาท เป็นต้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ