น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีการโอนหนี้จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน(FIDF) จำนวน 1.14 ล้านล้านบาท ไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)บริหารจัดการต่อ เพียงแต่ในรายละเอียดนั้น จะต้องให้ผู้ว่าฯ ธปท. ไปหารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกา และกระทรวงการคลังก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไรในเรื่องนี้
"ยังค่ะ ต้องคุยในรายละเอียด จริงๆ เราคุยในเชิงหลักการ ส่วนวิธีการนั้น ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องไปดูในรายละเอียด" นายกรัฐมนตรี ระบุ
อนึ่ง รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า วันพรุ่งนี้ เวลา 10.00 น. นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ จะประชุมร่วมกับกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) สำนักงบประมาณ และสำนักงานและพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) เพื่อหารือรายละเอียดเรื่องการโอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ กลับไปอยู่ในความดูแลของ ธปท.
ขณะที่นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง กล่าวว่า ปัจจุบัน ธปท.รับภาระชำระหนี้เงินต้นให้กับกองทุนฟื้นฟูฯ และกระทรวงการคลังรับภาระจ่ายดอกเบี้ยปีละ 45,000 ล้านบาท ซึ่งหากจะออกกฎหมายเพื่อให้ ธปท.ชำระดอกเบี้ยแทนก็จะต้องนำผลกำไรของ ธปท.มาชำระ ถ้าเพียงพอชำระก็จะไม่มีผลต่อการพิมพ์ธนบัตรเพิ่ม แต่ถ้าไม่พอจะกลายเป็นการบังคับให้ ธปท.ต้องพิมพ์ธนบัตรเพิ่ม ก็จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น รวมถึงบริษัทจัดเครดิตเรทติ้งที่อาจมีข้อกังวลในการใช้อำนาจของรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากงบดุลของ ธปท.รวมถึงบัญชีทุนสำรองเงินตรา พบว่า ธปท.มีความสามารถในการชำระดอกเบี้ยได้แต่อยู่ในวงจำกัด ดังนั้นนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท.จึงเคยเสนอแนวคิดให้ปรับวิธีการลงบัญชีผลประโยชน์กับบัญชีกำไรสะสม โดยจะต้องมีการออกกฎหมายและแก้ไขวิธีการลงบัญชี โดยจะไม่แตะต้องเงินต้น ทองคำ และเงินบริจาค แต่จะขอนำดอกผลมาใช้ชำระดอกเบี้ยกองทุนฟื้นฟูฯ ทั้งนี้พบว่าในปี 54 ธปท.จะมีดอกเบี้ยจากบัญชีทุนสำรองเงินตราประมาณ 25,000 ล้านบาท
"แนวคิดคือแบงก์ชาติของปรับปรุงวิธีการลงบัญชี โดยเงินต้น ทองคำจะไม่แตะต้อง แต่ขอเอาดอกผลมาใช้ จากปัจจุบันวิธีการลงบัญชี เป็นบัญชีรวมทำให้เอาดอกผลมาใช้ไม่ได้ หลักๆมีแค่นี้ โดยไม่กระทบวินัยการเงินด้วย" รมว.คลัง กล่าว
นอกจากนี้ เห็นว่าปัจจุบันสถาบันคุ้มครองเงินฝากมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากธนาคารพาณิชย์ 0.4%ของยอดเงินฝาก ซึ่งจะมีรายได้ประมาณ 29,000 ล้านบาท/ปี จะให้ ธปท.นำรายได้ดังกล่าวมาใช้ชำระดอกเบี้ยกองทุนฟื้นฟูฯอีกทาง โดยระหว่างที่มีการใช้เงินจากสถาบันคุ้มครองเงินฝาก กระทรวงการคลังพร้อมที่จะเข้ามารับค้ำประกันเงินฝากให้แทน แนวทางดังกล่าวจะต้องมีการออกกฎหมายรองรับเช่นกัน
"หากมีเงินจาก 2 แหล่ง จะนำมาชำระดอกเบี้ยกองทุนฟื้นฟูฯปีละ 45,000-50,000 ล้านบาทได้ ส่วนเงินต้นหากแบงก์ชาติมีกำไรพอก็เอามาชำระได้ ปัญหาเวลานี้อย่ากังวลเรื่องเงินต้น"รมว.คลัง กล่าว