คณะศิษยานุศิษย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน จำนวนหนึ่งได้เดินทางมายังกระทรวงพาณิชย์ เพื่อยื่นหนังสือต่อนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ให้ยกเลิกมาตราที่มีเนื้อหากระทบกระเทือนต่อทุนสำรองเงินตรา(คลังหลวง) ในพ.ร.ก.ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงกระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ.... โดยเฉพาะในมาตรา 7(2) และมาตรา 7(3) เพราะเกรงจะเปิดช่องให้รัฐไม่ต้องนำเงินเข้าคลังหลวง และกลายเป็นภาระหนักของประชาชน
ทั้งนี้นายกิตติรัตน์ ไม่ได้รับหนังสือดังกล่าวด้วยตนเอง เพราะไม่ได้อยู่ที่กระทรวงพาณิชย์ มีเพียงข้าราชการจากสำนักงานเลขานุการรัฐมนตรี เป็นผู้รับเรื่องไว้ และส่งโทรสารไปให้นายกิตติรัตน์ แทน
ภายหลังการยื่นหนังสือแล้ว ตัวแทนลูกศิษย์หลวงตามหาบัว กล่าวว่า เนื้อหาในมาตรา 7(2) ที่กำหนดให้โอนสินทรัพย์คงเหลือในบัญชีผลประโยชน์ประจำปีตามกฎหมายว่าด้วยเงินตราหลังจากการจ่ายเมื่อสิ้นปีเข้าบัญชีตามมาตรา 5 โดยไม่ต้องเข้าบัญชีสำรองพิเศษ และมาตรา 7(3) ที่กำหนดให้โอนเงินหรือสินทรัพย์ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) หรือกองทุนเข้าบัญชีตามมาตรา 5 ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) กำหนดนั้น จะเกิดผลกระทบโดยตรงต่อคลังหลวง เพราะทำให้รัฐบาลไม่จำเป็นต้องนำเงินเข้าบัญชีสำรองพิเศษ ซึ่งมีเงินและทองคำที่ได้จากการบริจาคช่วยชาติของศิษยานุศิษย์และคนไทยจำนวนมากรวมอยู่ด้วย ถือว่ากระทบต่อพินัยกรรมของหลวงตามหาบัว และเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติอย่างยิ่ง
"ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะล่อแหลม รัฐบาลควรจะดำรงทุนสำรองให้แน่นหนา มั่นคง ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเสาหลักของประเทศ เพราะการทำอะไรที่กระทบกับคลังหลวง นอกจากจะเป็นภาระหนักหน่วงของประชาชนถึงขั้นบ้านแตกสาแหรกขาดแล้ว ยังอาจทำให้ประชาชนทั้งประเทศล้มละลาย ธุรกิจ ธุรกรรมการซื้อขายต้องหยุดชะงัก ไม่มีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนอีกต่อไป จึงต้องการให้รัฐบาลยกเลิกมาตราที่มีเนื้อหากระทบกระเทือนคลังหลวงใน พ.ร.ก.ฉบับนี้ รวมถึงระงับการออกกฎหมายใดๆ ที่จะกระทบกระเทือนคลังหลวง เพื่อรักษาไว้เป็นทุนสำรองในภาวะวิกฤติที่หาทางออกไม่ได้ ตามเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษและหลวงตามหาบัว"