นายมนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตร MPA คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) เปิดเผยว่า แนวคิดของการโอนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินจำนวน 1.14 ล้านล้านบาท ไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)รับผิดชอบ เพื่อต้องการให้ฐานะทางการเงินของประเทศมีความมั่นคงเพียงพอต่อการกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท ในการนำไปใช้บริหารจัดการน้ำทั้งระบบตามแนวคิดของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตของประเทศ(กยอ.)นั้น การดำเนินการดังกล่าวจะกระทบกับฐานะของ ธปท. ทำให้การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบต้องล่าช้าออกไปโดยไม่จำเป็น ทั้งที่มีอีกหลายแนวทางในการบริหารการก่อหนี้ ประกอบกับแนวคิดการโอนหนี้ดังกล่าว ยังไม่ใช่แนวทางการลดก่อหนี้สาธารณะได้อย่างแท้จริงอีกด้วย
ทั้งนี้ หากรัฐบาลมีความกังวลต่อตัวเลขหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น ก็อาจจะเลือกแนวทางให้สัมปทานภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อป้องกันน้ำท่วมทั้งหมด หรือแนวทางการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อป้องกันน้ำท่วม ซึ่งทาง กลต.มีระเบียบแนวทางในการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานอยู่ 8 ประเภท โดยขายหน่วยลงทุนให้กับประชาชน สถาบันการเงิน นักลงทุนสถาบัน รวมถึงผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมแก้ปัญหาน้ำท่วมแบบยั่งยืนได้ดีกว่า อีกทั้งสามารถสร้างทางเลือกในการลงทุนให้แก่ประชาชนได้อีกทางหนึ่งด้วย
นายมนตรี กล่าวว่า หากภาครัฐยืนยันเดินหน้ากู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท เพื่อลงทุนบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบก็ยังสามารถกู้เงินมาลงทุนในโครงการต่างๆ ได้โดยไม่ต้องกังวล เพราะปัจจุบันหนี้สาธารณะของไทยอยู่ในอัตราที่ต่ำเพียง 40% ของจีดีพี และยังมีเพดานการก่อหนี้สาธารณะที่อยู่ในกรอบของบริหารจัดการได้จะต้องไม่เกิน 60% ของจีดีพี โดยหากนับรวมกับการกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท กับงบประมาณขาดดุลประจำปี 2555 ที่ต้องกู้เงินอีก 4 แสนล้านบาท หนี้สาธารณะของไทยจะขยับเป็น 49% เท่านั้น
"ภาครัฐมีหลายแนวทางในการบริหารหนี้สาธารณะต่อการดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ เช่น การให้สัมปทานเอกชนเป็นผู้ลงทุนขุดคลองเส้นใหม่ ก่อสร้างถนนเพื่อทำเป็นกำแพงกั้นน้ำ ที่สามารถเรียกเก็บค่าผ่านทางได้ หรือเลือกระดมทุนจากประชาชนที่สนใจด้วยการขายหน่วยลงทุนจากกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเชื่อว่าทั้ง 2 แนวทางข้างต้น จะไม่เป็นภาระต่อการก่อหนี้สาธารณะ แต่หากภาครัฐยืนยันกู้เงินมาลงทุนเองทั้งหมด ก็ยังสามารถทำได้เพราะหนี้สาธารณะของไทยยังต่ำมากเมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศ" นายมนตรี กล่าว
พร้อมระบุว่า สิ่งที่สำคัญคือการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อป้องกันน้ำท่วม จะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนชาวต่างชาติมั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาน้ำท่วมใหญ่เหมือนเมื่อปลายปี 2554 อีกต่อไป นักลงทุนต่างชาติจึงจะกลับมาลงทุนในไทยอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยให้เติบโตขึ้นได้อย่างยั่งยืน