นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการ ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดว่า การส่งออกในปี 55 จะชะลอตัวจากปี 54 โดยขยายตัว 6.8 — 13.7% มีมูลค่า 243,842-259,477 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากที่ขยายตัว 16.9 ในปี 54
ทั้งนี้ ภายใต้สมมติฐานเศรษฐกิจโลกขยายตัว 3.38% (แต่ทั้งนี้หากปัญหาเศรษฐกิจยุโรปไม่สามารถแก้ไขได้และลุกลามจนเป็นวิกฤตเศรษฐกิจโลกส่งผลให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวเพียง 0.78-1.38% จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการส่งออกไทยถึงขั้นหดตัวอยู่ที่ -3.13 — 4.28%) การส่งออกในปี 55 ตลาดใหม่ เช่น จีน อินเดีย อาเซียนใหม่(กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม) อเมริกาใต้ จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญโดยขยายตัว 14.4% ในขณะที่ตลาดเก่าดั้งเดิมอย่าง สหรัฐฯ และยุโรปที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจจะขยายตัว 7.8% ในส่วนของตลาดยุโรปคาดว่าในปี 55 ไทยจะประสบปัญหาค่อนข้างมากมีโอกาสที่การส่งออกไปตลาดยุโรปจะหดตัว ผู้ส่งออกไทยจะประสบปัญหาทั้งในด้านกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง ส่งผลให้คู่ค้าชะลอคำสั่งซื้อ รวมถึงคู่ค้าอาจมีการเลื่อนชำระเนื่องจากปัญหาทางการเงินที่รุนแรงขึ้น ดังนั้นผู้ส่งออกไทยจำเป็นต้องวางแผนรับมือรวมถึงขยายตลาดให้กว้าขึ้น โดยเฉพาะตลาดในเอเชีย
โดยในช่วงไตรมาสแรกของปี การส่งออกจะหดตัวอย่างรุนแรงจากปัจจัยน้ำท่วมในประเทศ ประกอบกับปัญหาเศรษฐกิจยุโรป โดยไตรมาส 1/55 คาดว่าการส่งออกหดตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 4/54 โดยหดตัว -11.2 ถึง -6.2% (ขยายตัว -8.7% ที่ค่าความน่าจะเป็นสูงสุด) หรือเป็นมูลค่า 50,504-53,348 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากที่หดตัวประมาณ -6.8% ในไตรมาส 4/54 ซึ่งเป็นการส่งออกที่หดตัวต่ำสุดในรอบ 10 ไตรมาส นับจากไตรมาส 4/52 หลังจากช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์
อย่างไรก็ตามหลังไตรมาส 2 การส่งออกจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นจากการที่ภาคการผลิตสามารถกลับมาผลิตได้เต็มที่ 90-100%
นายอัทธ์ กล่าวว่าในส่วนสินค้าส่งออกที่คาดว่ามีโอกาสขยายตัวได้ คือ 1.รถยนต์อุปกรณ์ และส่วนประกอบ 2.ยางพารา 3.เม็ดพลาสติก 4.เคมีภัณฑ์ 5.ข้าว 6.อาหารกระป๋องและแปรรูป 7.มันสำปะหลัง ส่วนสินค้าที่ไม่สดใส (ชะลอลงมากถึงหดตัว คือ 1.เครื่องใช้ไฟฟ้า และส่วนประกอบ 2. อัญมณีและเครื่องประดับ 3.เครื่องนุ่งห่ม 4.เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน 5.รองเท้าและชิ้นส่วน
ปัจจัยที่มีผลต่อการส่งออกไทยที่สำคัญในปี 55 ได้แก่ 1.เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะเสี่ยง จากปัญหาวิกฤตหนี้สาธารณะในกลุ่มยูโร ซึ่งขยายวงกว้างและมีโอกาสเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งจะกระทบต่อประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจและลุกลามให้เศรษฐกิจโลกแย่ลงตามไปด้วย
2.ต้นทุนเพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนของโลจิสติดส์ และต้นทุนการผลิต โดยต้นทุนโลจิสติกส์เพิ่มขึ้น จากราคาน้ำมันดิบโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดย U.S. Energy Information Administration (EIA) คาดว่าราคาน้ำมันWest Texas intermediate (WTI) ในปี 55 จะปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 3.4 อยู่ที่ระดับ 98.0 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล จากระดับ 94.8 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ในปี 2554 ประกอบกับนโยบายการปรับขึ้นราคาพลังงานภาคขนส่งในปี 2555 ในขณะที่ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น จากนโยบายขึ้นค่าแรงของรัฐบาล และนโยบายการปรับราคา LPG ในภาคอุตสาหกรรม
3.ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ ภัยธรรมชาติที่เพิ่มมากขึ้น เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว ล้วนแต่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อการส่งออกไทยมากขึ้น และปัญหาน้ำท่วมกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน และ 4.ความมั่นคงทางการเมือง