สกุลเงินยูโรแข็งค่าขึ้นติดต่อกัน 2 วันทำการเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (10 ม.ค.) เพราะได้แรงหนุนจากการที่ฟิทช์ เรทติงส์ ส่งสัญญาณว่าจะยังไม่ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ AAA ของฝรั่งเศสในปีนี้ ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงหลังจากสหรัฐเปิดเผยสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้
ค่าเงินยูโรร่วงลง 1.32% แตะที่ 1.2774 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันจันทร์ที่ 1.2765 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนตัวลง 0.16% แตะที่ 1.5481 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5457 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐทรงตัวเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 76.830 เยน แต่ขยับลง 0.08% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9488 ฟรังค์ จากระดับ 0.9496 ฟรังค์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 0.74% แตะที่ 1.0312 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.0236 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์พุ่งขึ้น 0.77% แตะที่ 0.7934 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7873 ดอลลาร์สหรัฐ
สกุลเงินยูโรดีดตัวขึ้นติดต่อกัน 2 วันทำการเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ หลังจากฟิทช์ เรทติงส์ ส่งสัญญาณว่าจะยังไม่ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ AAA ของฝรั่งเศสในปีนี้
อย่างไรก็ตาม นายเดวิด ไรลีย์ หัวหน้าฝ่ายจัดอันดับประเทศของฟิทช์ เรทติ้งส์ เปิดเผยว่า ฟิทช์จะพิจารณาสถานการณ์ของหลายประเทศในกลุ่มยูโรโซนปลายเดือนม.ค.นี้ โดยระบุว่า อิตาลี ซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจอันดับ 3 ของยูโรโซน มีโอกาสสูงมากที่จะถูกปรับลดอันดับลงจาก A+ พร้อมกับเตือนว่ากรีซจะยังคงเป็นศูนย์กลางของวิกฤตหนี้ครั้งนี้ต่อไปอีกหลายเดือน โดยขณะนี้กรีซอยู่ระหว่างเจรจากับเจ้าหนี้เอกชนเพื่อขอลดมูลค่าการถือครองตราสารหนี้
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนพ.ย.ขยายตัวเพียง 0.1% ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยายตัว 0.5% สะท้อนให้เห็นว่าภาคค้าส่งยังไม่ค่อยมั่นใจในแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ
นักลงทุนจับตาดูการประชุมธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ในวันพรุ่งนี้ หลังจากอีซีบีเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ธนาคารพาณิชย์ในประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโรมีเงินฝากช่วงข้ามคืนที่อีซีบีเป็นจำนวนสูงเป็นประวัติการณ์เกือบ 4.82 แสนล้านยูโร ทำลายสถิติเดิม 4.64 แสนล้านยูโรที่ทำไว้เมื่อวันก่อน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าธนาคารพาณิชย์เลือกที่จะเก็บรักษาเงินสดไว้ มากกว่าที่จะปล่อยกู้ระหว่างกันในระยะสั้น และเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า วิกฤตหนี้ในยูโรโซนไม่มีแนวโน้มจะคลี่คลาย