เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ธนาคารรายใหญ่สุดของสหรัฐเมื่อพิจารณาจากสินทรัพย์ รายงานผลการประกอบการประจำไตรมาส 4 ว่า ผลกำไรลดลง เนื่องจากรายได้ของธุรกิจวาณิชธนกิจอ่อนแอลงมาก แต่กำไรรวมตลอดทั้งปียังเพิ่มสูงขึ้นตามคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี 2554 เจพีมอร์แกนมีกำไรสุทธิ 3.73 พันล้านดอลลาร์ หรือ 90 เซนต์ต่อหุ้น ลดลง 23% จากระดับ 4.83 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.12 ดอลลาร์ต่อหุ้น ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า
ทั้งนี้ กำไรสุทธิที่ลดลงเป็นผลมาจากรายได้ในไตรมาส 4 ที่ร่วงลงถึง 18% มาอยู่ที่ 2.147 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
โดยรายได้สุทธิของธุรกิจวาณิชธนกิจดิ่งลง 30% ในไตรมาส 4 มาอยู่ที่ 4.36 พันล้านดอลลาร์ หลังจากที่ลูกค้าองค์กรชะลอการซื้อขาย เนื่องจากวิตกกังวลว่าวิกฤตหนี้ยุโรปอาจส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจชะลอตัว
อย่างไรก็ดี เมื่อนับรวมตลอดปี 2554 เจพีมอร์แกนมีผลกำไรเพิ่มขึ้น 9% มาอยู่ที่ 1.898 หมื่นล้านดอลลาร์ เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2553 ซึ่งทำกำไรได้ 1.737 หมื่นล้านดอลลาร์
สำหรับรายได้ตลอดทั้งปี 2554 ลดลง 5% แตะ 9.72 หมื่นล้านดอลลาร์
เจมี่ ไดมอนด์ ซีอีโอของเจพีมอร์แกน ระบุในแถลงการณ์ว่า ผลตอบแทนเหล่านี้มีเหตุมีผล เมื่อพิจารณาจากสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ แต่ถึงกระนั้น ผลการดำเนินงานในไตรมาส 4 ถือว่าค่อนข้างน่าผิดหวัง
รายงานผลประกอบการดังกล่าวทำให้หุ้นของเจพีมอร์แกนร่วง 2.9% ในการซื้อขายก่อนเปิดตลาดที่นิวยอร์ก