ส.ไทยรับสร้างบ้านมองตลาดไม่สดใสเหตุเจอน้ำมันแพง-ขาดแรงงาน-กังวลน้ำท่วมซ้ำ

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday January 17, 2012 15:48 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน(THCA) มองภาวะตลาดรับสร้างบ้านปีนี้ยังน่าเป็นห่วงจากปัจจัยลบเรื่องราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น แรงงานขาดแคลน และความกังวลต่อปัญหาน้ำท่วมซ้ำ พร้อมเตือนผู้ประกอบการรายเล็กรายกลางเฝ้าระวังต้นทุนพุ่งหลังทำสัญญาก่อสร้างอาจส่งผลให้ธุรกิจเสียหาย แนะเร่งสร้างเครือข่ายธุรกิจรับมือการแข่งขันในอนาคต

"ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศปี 2555 แนวโน้มไม่สดใสเท่าที่ควร ดังนั้นผู้ประกอบการจึงควรเร่งปรับตัวเองเพื่อให้พร้อมรับมือ โดยเฉพาะตลาดรับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลสถานการณ์น่าเป็นห่วง คาดว่าปัจจัยลบที่มีผลกระทบรุนแรงในปีนี้ได้แก่ 1.ราคาก๊าซและน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น 2.การขาดแคลนแรงงานก่อสร้าง และ 3.ความกังวลของผู้บริโภคเกี่ยวกับปัญหาน้ำท่วมซ้ำ" นายสิทธิพร สุวรรณสุต นายก THCA กล่าว โดยปัญหาราคาก๊าซและน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในปีนี้อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนค่าขนส่งและวัสดุ ซึ่งถือเป็นต้นทุนหลักของธุรกิจรับสร้างบ้าน หากผู้ประกอบการไม่เฝ้าระวังภาวะต้นทุนที่ปรับขึ้นหรือมุ่งทำตลาดโดยไม่ศึกษาแนวโน้มต้นทุนในอนาคตอาจส่งผลให้เกิดความเสียหายหรือขาดทุนได้

"การก่อสร้างบ้านต้องใช้ระยะเวลาเฉลี่ยอีก 8-12 เดือนขึ้นไป ซึ่งหลังจากทำสัญญาแล้วผู้ประกอบการจะไม่สามารถปรับราคาบ้านเพิ่มได้ จึงถือว่ามีความเสี่ยงสูงในสถานการณ์ที่ราคาน้ำมันผันผวนอย่างมากในปีนี้ โดยเฉพาะบริษัทรับสร้างบ้านรายเล็กๆ ซึ่งมีปริมาณสั่งซื้อวัสดุไม่มากพอก็จะไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ หรือจะต้องแบกรับภาระเองทั้งหมด" นายสิทธิพร กล่าว

ปัจจัยต่อมาเป็นเรื่องการขาดแคลนแรงงานก่อสร้าง สำหรับภาคธุรกิจรับสร้างบ้านเวลานี้ถือว่าอาการหนัก เพราะแรงงานก่อสร้างคนไทยหายากมาก เนื่องเพราะเป็นงานหนักและค่าจ้างไม่จูงใจ เมื่อเปรียบเทียบกับการกลับสู่ภาคการเกษตรในปัจจุบัน ฉะนั้นผู้ประกอบการควรนำระบบพรีแฟบและวัสดุก่อสร้างกึ่งสำเร็จรูปมาใช้สร้างบ้านมากขึ้น

สุดท้ายเป็นความกังวลว่าปีนี้อาจเกิดปัญหาน้ำท่วมขึ้นอีก ทำให้ผู้บริโภคชะลอการสร้างบ้านเอาไว้ เพื่อจะรอดูสถานการณ์ให้มั่นใจก่อนจะตัดสินใจสร้างบ้านหลังใหม่ ซึ่งคาดว่าจะยืดเยื้อไม่น้อยกว่า 3-6 เดือนหรือผ่านครึ่งปีแรกไปแล้ว ความเชื่อมั่นจึงจะกลับคืนสู่ภาวะปกติ ภายใต้แผนการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลที่จะประกาศออกมาอย่างชัดเจน

"ปีนี้ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยง ซึ่งคาดว่าจะเกิดจากปัจจัยลบทั้ง 3 ประการที่กล่าวข้างต้น ทั้งนี้เพื่อสามารถประคองธุรกิจให้ฝ่าพ้นไปได้ รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการปรับตัว ด้วยการสร้างพันธมิตรธุรกิจและสร้างเครือข่ายธุรกิจให้เข้มแข็ง" นายสิทธิพร กล่าว

สำหรับตลาดรับสร้างบ้านในต่างจังหวัดประเมินว่าความต้องการหรือกำลังซื้อยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะจังหวัดที่น้ำไม่ท่วมและเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ รวมถึงจังหวัดที่เป็นหัวเมืองหลักในแต่ละภูมิภาค เช่น เชียงใหม่ นครราชสีมา ระยอง หัวหิน ภูเก็ต ฯลฯ ซึ่งเศรษฐกิจมีการขยายตัวและมีความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ผู้ประกอบการรับสร้างบ้านควรหาทางขยายการให้บริการไปยังจังหวัดเหล่านี้ เพื่อเป็นการสร้างโอกาสและเปิดสู่ตลาดใหม่ รวมทั้งเป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน เพราะที่ผ่านมาธุรกิจรับสร้างบ้านกระจุกตัวอยู่แต่เฉพาะกรุงเทพฯ และปริมณฑลมานาน

ทั้งนี้ สมาคมฯ ประเมินว่าบ้านสร้างเองทั่วประเทศในปีนี้จะมีมูลค่าประมาณ 120,000 ล้านบาท(ไม่ได้สร้างโดยผู้ประกอบการบ้านจัดสรร) ขณะที่ธุรกิจรับสร้างบ้านจะสามารถแชร์ส่วนแบ่งตลาดได้ประมาณร้อยละ 8-8.5 หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาทเศษ แต่หากว่ากลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านสามารถปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ได้ดี เชื่อว่าจะสามารถขยายส่วนแบ่งตลาดได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดรับสร้างบ้านในต่างจังหวัดที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นทุกปี ซึ่งปีนี้คาดว่าเฉพาะสมาชิกสมาคมฯ จะมีแชร์ส่วนแบ่งประมาณ 1,500-1,800 ล้านบาทขึ้นไป


แท็ก น้ำท่วม  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ