น้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส (WTI) ที่ตลาดนิวยอร์กซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ และน้ำมันดิบเบรนท์ในตลาดลอนดอน พากันปรับตัวขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดในอิหร่าน หลังจากที่สหภาพยุโรป (อียู) ประกาศห้ามนำเข้าน้ำมันจากอิหร่าน ด้วยความหวังที่จะกดดันให้หันหน้าสู่โต๊ะเจรจา ขณะที่อิหร่านขู่จะปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันที่สำคัญของโลก
สัญญาน้ำมันดิบที่ตลาด NYMEX ในนิวยอร์ก ดีดขึ้น 88 เซนต์ แตะ 99.21 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 80 เซนต์ แตะ 110.66 ดอลลาร์/บาร์เรล ณ เวลา 18.58 น.วันนี้
ทั้งนี้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สัญญาน้ำมัน WTI ร่วงลง 1.93 ดอลลาร์ หรือ 2% ปิดที่ 98.46 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ร่วงลง 1.8 ดอลลาร์ ปิดที่ 109.75 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์พลังงาน รวมถึงสถานการณ์ไม่แน่นอนเรื่องวิกฤตหนี้ในยุโรป
อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นในช่วงก่อนเปิดตลาดวันนี้ หลังจากที่มีรายงานว่ารัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของชาติสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) มีมติห้ามนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านอย่างเป็นทางการแล้วในการประชุมที่กรุงบรัสเซลส์ เนื่องจากเห็นว่า การคว่ำบาตรเป็นหนทางที่จะโน้มน้าวอิหร่านให้ยอมตกลงร่วมเจรจากับนานาประเทศได้
ภายใต้ข้อตกลงใหม่ที่มีการประกาศในวันนี้ รัฐบาลอียูต้องยุติการทำสัญญาฉบับใหม่กับอิหร่านทันทีที่คำสั่งห้ามมีผลบังคับใช้ ซึ่งน่าจะเป็นอย่างเร็วที่สุดในสัปดาห์นี้ ขณะที่สัญญาฉบับปัจจุบันอนุญาตให้ใช้ได้จนถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2555
ขณะเดียวกัน อิหร่านได้ออกมาตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรของอียู โดยขู่ว่า หากอียูและสหรัฐเพิ่มมาตรการคว่ำบาตร อิหร่านก็จะปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันถึง 20% ของน้ำมันที่มีการค้าขายทั่วโลก โดยซาอุดิอาระเบีย อิหร่าน อิรัก สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ และคูเวตต่างใช้เส้นทางดังกล่าวขนส่งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี)
ปัจจุบัน อิหร่านส่งออกน้ำมันให้ประเทศในอียูคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของปริมาณการส่งออกน้ำมันทั้งหมดของประเทศ