สกุลเงินยูโรพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 6 สัปดาห์เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (27 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกว่า กรีซจะสามารถหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ หลังจากรัฐบาลกรีซส่งสัญญาณว่าการเจรจาเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้มีความคืบหน้าอย่างมาก นอกจากนี้ สกุลเงินยูโรยังได้รับแรงหนุนจากความสำเร็จในการประมูลตั๋วเงินคลังของอิตาลี
ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้น 0.99% แตะที่ 1.3227 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 1.3097 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ค่าเงินปอนด์พุ่งขึ้น 0.33% แตะที่ 1.5736 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5684 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลง 0.99% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 76.670 เยน จากระดับ 77.440 เยน และดิ่งลง 0.93% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9117 ฟรังค์ จากระดับ 0.9203 ฟรังค์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียดีดตัวขึ้น 0.35% แตะที่ 1.0655 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.0618 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์แข็งค่าขึ้น 0.61% แตะที่ 0.8241 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8191 ดอลลาร์สหรัฐ
สกุลเงินยูโรได้แรงหนุนหลังจากนายออลลี เรห์น กรรมาธิการด้านเศรษฐกิจและการเงินของสหภาพยุโรป (อียู) กล่าวว่า กลุ่มเจ้าหนี้เอกชนและรัฐบาลกรีซใกล้จะบรรลุข้อตกลงเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ของกรีซ ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนคาดหวังว่ากรีซจะสามารถหลีกเลี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้
การปรับโครงสร้างหนี้ของกรีซมีเป้าหมายที่จะทำให้สัดส่วนหนี้สินของกรีซปรับตัวดลลงจากระดับ 160% ของจีดีพี มาอยู่ที่ระดับ 120% ของจีดีพี ภายในปี 2563 ซึ่งเป็นระดับที่เจ้าหน้าที่ของอียูและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) มองว่าจะช่วยให้กรีซบริหารจัดการได้มากขึ้น
นอกจากนี้ สกุลเงินยูโรยังได้แรงหนุนจากข่าวที่ว่ารัฐบาลอิตาลีสามารถประมูลขายตั๋วเงินคลังได้ตามเป้าที่ 1.1 หมื่นล้านยูโร (1.45 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) เมื่อวานนี้ โดยมีอัตราผลตอบแทน หรือต้นทุนการกู้ยืมลดลงจากการประมูลขายก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ ตั๋วเงินคลังอายุ 182 วันของอิตาลีมียอดจำหน่ายที่ 8 พันล้านยูโร ด้วยอัตราผลตอบแทน 1.969% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. และลดลงจากระดับ 3.251% ในการประมูลตั๋วเงินคลังประเภทเดียวกันเมื่อวันที่ 28 ธ.ค.ปีที่แล้ว นอกจากนี้ อิตาลียังสามารถจำหน่ายตั๋วเงินคลังอายุ 331 ได้ 3 พันล้านยูโร ด้วยอัตราผลตอบแทน 2.214%
อย่างไรก็ตาม สกุลเงินยูโรได้รับแรงกดดันในระหว่างวัน หลังจากฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของอิตาลีลง 2 ขั้น มาอยู่ที่ระดับ A- จากระดับ A+ และลดอันดับความน่าเชื่อถือของสเปนลง 2 ขั้น มาอยู่ที่ระดับ A จากระดับ AA- โดยระบุว่าประเทศเหล่านี้มีความยืดหยุ่นทางการเงินไม่มากพอที่จะสามารถรับมือกับวิกฤตหนี้ยุโรปได้
ขณะที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ หลังจากสหรัฐเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่แท้จริงขั้นต้นประจำไตรมาส 4/2554 ขยายตัว 2.8% ต่อปี ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ที่ 3% นอกจากนี้ จีดีพีตลอดทั้งปี 2554 ขยายตัวเพียง 1.7% ซึ่งชะลอตัวลงอย่างมากเมื่อทียบกับระดับ 3% ของปี 2553