นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.(PTT) ในฐานะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ(กยอ.)กล่าวในงานสัมมนา"ถอดรหัสจีดีพี ปี 55"โดยแสดงความเป็นห่วงเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(FDI)ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
โดยข้อมูลตั้งแต่ปี 47-52 พบว่าเม็ดเงิน FDI ที่เคยเข้ามาลงทุนในประเทศไทยในสัดส่วน 17% ของทั้งอาเซียน ลดลงเหลือเพียง 6% หรือคิดเป็นเฉลี่ยลดลงปีละ 7% ขณะที่ประเทศคู่แข่งอย่าง อินโดนีเซีย มี FDI เพิ่มขึ้น 40% มาเลเซียเพิ่มขึ้น 12% สิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 8% สะท้อนว่าส่วนแบ่งการตลาดจากเม็ดเงินลงทุนลดลง จากความน่าสนใจลงทุนในประเทศไทยในสายตาต่างชาติที่ลดลง
นายประเสริฐ กล่าวว่า ถึงเวลาที่รัฐบาลจะต้องมีการลงทุนครั้งใหญ่เพื่อยกเครื่องประเทศ กำหนดบทบาทของประเทศไทยในระยะกลาง-ยาว เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน กำหนดแนวทางการพัฒนาและทิศทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมใด ๆที่ชัดเจน เหมือนหลายประเทศในอาเซียนวางไว้ เช่น มาเลเซีย ที่มุ่งพัฒนาใน 12 sector โดยใช้ความได้เปรียบของการเป็นศูนย์กลางภูมิภาคอาเซียน การมีโครงสร้างพื้นฐาน มีเครือข่ายต่างๆ แต่เนื่องจากในอนาคตความน่าสนใจลงทุนในไทยจะเริ่มลดลง ดังนั้น จึงต้องมีการลงทุนเพื่อดึงความสนใจกลับมาให้ได้
และจากสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ แม้หลายอุตสาหกรรมจะยังประกาศที่จะยังลงทุนในไทยต่อไป เช่น อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ เคมีภัณฑ์ แต่มีบางอุตสาหกรรม ที่เริ่มมีสัญญาณการย้ายฐานการลงทุนแล้ว เช่น อิเล็กทรอนิคส์ จากช่วง 4 ปีที่ผ่านมาที่เม็ดเงินลงทุนในไทยจากอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิคส์มาเป็นอันดับ 1 ซึ่งเป็นประเด็นที่ กยอ.ให้ความกังวลกับเรื่องนี้
"ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องลงทุนครั้งใหญ่ ตอนนี้เราเดินได้ถูกต้องแล้ว แต่จะทำให้สำเร็จได้อย่างไร ภาคเอกชนจะลงทุนต้องมั่นใจถึงแผนที่รัฐบาลประกาศออกมาจะทำได้ตามที่ประกาศเสร็จทันเวลาหรือไม่ มีผู้รับผิดชอบชัดเจน...สิ่งที่ต่างชาติจี้ไทยต้องทำให้ได้ คือการบริหารจัดการภัยพิบัติ ต้องมีแผนจัดการที่ดี ทำให้ได้ เป็นสิ่งที่ต่างชาติกังวล"นายประเสริฐ กล่าว
นายประเสริฐ ได้เสนอแนะให้รัฐบาลเร่งสร้างความเชื่อมั่น โดยเฉพาะในสายตานักลงทุนต่างชาติ ด้วยการประกาศแผนบริหารจัดการน้ำ และสื่อสารออกมาเป็นระยะๆ ให้เกิดความชัดเจน ขจัดความขัดแย้งในการทำงาน ส่วนด้านการเมือง ควรมีการนำประเทศไปข้างหน้าให้มีความต่อเนื่อง พร้อมกันนั้นก็ควรแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน ให้สิทธิประโยชน์เพื่อสร้างแรงจูงใจนักลงทุนต่างชาติ เพราะหลายประเทศมีข้อเสนอดึงเม็ดเงินจากต่างชาติเช่นกัน แต่ยังมองไทยเป็นทางเลือกการลงทุนอันดับต้นๆ
อย่างไรก็ตาม นายประเสริฐ ยังเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยปี 55 มีโอกาสที่จะขยายตัวในระดับ 5% โดยช่วงครึ่งปีแรกเศรษฐกิจอาจเติบโตได้ไม่มาก แต่จะเติบโตได้เต็มที่ใช่วงครึ่งปีหลัง
"หากรัฐบาลทำให้จีดีพีโตได้ 5% ถือว่าประสบความเสร็จโดยมีปัจจัยประกอบทั้งความเชื่อมั่นของต่างชาติ ความมั่นใจจากประชาชนที่จะทำให้เกิดความมั่นใจในการใช้จ่าย การบริโภค และนำไปสู่การลงทุนภาคเอกชน การส่งออกจะทำได้ดีขึ้น รวมถึงตัวเร่งจากรัฐบาลในการอัดฉีดเม็ดเงินเต็มที่"นายประเสริฐ กล่าวฃ