สกุลเงินยูโรร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (6 ก.พ.) เนื่องจากกลุ่มผู้นำทางการเมืองของกรีซได้เลื่อนเวลาการตัดสินใจเกี่ยวกับเงื่อนไขในการรับความช่วยเหลือรอบใหม่ออกไปอีก ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้นักลงทุนวิตกกังวลว่ากรีซอาจจะไม่รอดพ้นจากการผิดนัดชำระหนี้
ค่าเงินยูโรร่วงลง 0.11% แตะที่ 1.3129 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.3143 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์พุ่งขึ้น 0.08% แตะที่ 1.5826 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5812 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น 0.03% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 76.580 เยน จากระดับ 76.560 เยน และอ่อนตัวลง 0.02% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 0.9188 ฟรังค์ จากระดับ 0.9186 ฟรังค์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียดิ่งลง 0.41% แตะที่ 1.0731 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.0775 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ร่วงลง 0.26% แตะที่ 0.8335 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8357 ดอลลาร์สหรัฐ
สกุลเงินยูโรร่วงลงหลังจากทางการกรีซเปิดเผยว่า การเจรจาเรื่องมาตรการรัดเข็มขัดและการปฏิรูปการคลังระหว่างนายลูคัส ปาปาเดมอส นายกรัฐมนตรี กับบรรดาหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลกรีซ จะเลื่อนออกไปเป็นวันอังคาร จากเดิมที่มีกำหนดหารือกันในช่วงเที่ยงวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้เกิดความวิตกกังวลว่ากรีซอาจจะเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้
ปัญหาหนี้สาธารณะของกรีซกำลังกลายเป็นประเด็นที่สร้างความวิตกกังวลในวงกว้าง โดยรายงานล่าสุดของสำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป หรือ ยูโรสแตท ระบุว่า ตัวเลขหนี้สาธารณะของกรีซพุ่งขึ้นสู่ระดับ 159.1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2554 เพิ่มขึ้นจากระดับ 154.7% ของจีดีพี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในกลุ่มยูโรโซน และสะท้อนให้เห็นว่ากรีซยังคงเผชิญกับภาระหนี้สินมูลค่ามหาศาล แม้รัฐบาลพยายามลดการใช้จ่ายลงจำนวนมากก็ตาม
นายนิโคลาส์ ซาร์โกซี ประธานาธิบดีฝรั่งเศส และนางอังเกลา แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลกรีซ "แสดงความรับผิดชอบ" และเร่งสรุปการเจรจาเกี่ยวกับการรับความช่วยเหลือรอบที่ 2 โดยผู้นำเยอรมนีและฝรั่งเศสเห็นพ้องต้องกันว่า กรีซควรจะนำรายได้ของประเทศเข้าสู่กองทุนที่แยกออกมาต่างหาก เพื่อนำรายได้เหล่านั้นไปชำระหนี้ และเพื่อช่วยให้กรีซหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้
ทางการสหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ข้อมูลสต็อกสินค้าภาคค้าส่งเดือนธ.ค., ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต้นเดือนก.พ. และตัวเลขงบประมาณของรัฐบาลกลางเดือนม.ค.