หนังสือพิมพ์ฮูสตัน โครนิเคิล รายงานว่า ภาวะเศรษฐกิจในพื้นที่นอกชายฝั่งสหรัฐยังได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วในอ่าวเม็กซิโกเมื่อปี 2553 เนื่องจากธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในพื้นที่แห่งนี้ต้องปลดพนักงานและย้ายออกจากสถานที่ ในขณะที่การออกใบอนุญาตเพื่อทำการขุดเจาะในเขตน้ำลึกของรัฐบาลมีจำนวนที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
ฮูสตัน โครนิเคิลรายงานผลการศึกษาของเกรทเทอร์ นิว ออร์ลีนส์ อิงค์ ซึ่งเป็นองค์กรเศรษฐกิจในภูมิภาคนอกชายฝั่งสหรัฐว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐได้ออกใบอนุญาตเพื่อขุดเจาะบ่อน้ำมันใหม่เพียง 43 แห่ง ที่ค่าเฉลี่ย 2.5 ต่อเดือน นับตั้งแต่มีคำสั่งระงับออกใบอนุญาตหลังเกิดอุบัติเหตุน้ำมันรั่วเมื่อเดือนตุลาคม 2553 ลดลงจากค่าเฉลี่ยที่ 5.8 ต่อเดือนก่อนเกิดเหตุการณ์น้ำมันรั่ว
ผลการศึกษาพบว่า การออกใบอนุญาตต้องใช้เวลา 109 วันในปี 2554 เมื่อเทียบกับ 61 วันในปีช่วง 5 ปีก่อนหน้านั้น ในขณะที่เปอร์เซนต์ของโครงการขุดเจาะที่ได้รับอนุญาตลดลงมาอยู่ที่ 34% ในปี 2554 จากเฉลี่ยที่ 73% ในช่วง 5 ปีก่อนหน้า
นอกจากนี้ 49% จากทั้งหมด 99 บริษัทที่สำรวจระบุว่า ได้ปลดพนักงานออกหลังจากที่บริษัทได้รับคำสั่งให้ระงับการขุดเจาะซึ่งรวมไปถึง วิศวกร เจ้าหน้าที่ คนงานประจำแท่นขุดเจาะน้ำมัน และ หัวหน้าคนงาน ในขณะที่ประมาณ 38% ของบริษัทที่สำรวจระบุว่าได้ลดชั่วโมงการทำงานหรือเงินเดือนพนักงานลง ส่วนรายได้ต่อปีโดยเฉลี่ยของของบริษัทลดลงจาก 136.5 ล้านดอลลาร์ในช่วงก่อนเกิดเหตุน้ำมันรั่ว มาอยู่ที่ 104.5 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาบ่งชี้ว่า อุตสาหกรรมบ่อน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในรัฐหลุยเซียนาไม่ได้ปลดพนักงานออก โดยยังคงมีจำนวนพนักงานที่ 8,500 คนทั้งช่วงก่อนและหลังคำสั่งระงับการออกใบอนุญาต เนื่องจากการขุดเจาะน้ำมันบนชายฝั่งมีพื้นที่กว้างกว่า
ทั้งนี้ บ่อน้ำมันมาคอนโดของบริษัทบีพีได้เกิดรอยรั่วหลังแท่นขุดเจาะมัน Deepwater Horizon ได้เกิดระเบิดและจมลงในเดือนเมษายน 2553 ส่งผลให้น้ำมันจำนวน 4.9 ล้านบาร์เรลไหลเข้าสู่ในอ่าวเม็กซิโกเป็นเวลาเกือบ 3 เดือน และนับเป็นอุบัติเหตุน้ำมันรั่วครั้งใหญ่ที่สุดในโลก สำนักข่าวซินหัวรายงาน