นายจิตติ ตั้งสิทธิภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า ราคาทองคำในปี 55 มีโอกาสทำราคาสุงสุดใหม่ในช่วงครึ่งปีหลัง โดยอาจจะทะลุ 1,922 เหรียญ/ออนซ์ที่เป็นจุดสูงสุดเดิม แต่ไม่น่าเกิน 2,000 เหรียญ/ออนซ์ ขณะที่ราคาทองในประเทศจะอยู่สุงกว่า 27,000 บาท แต่ไม่เกิน 30,000 บาท ทั้งนี้ ปัจจัยความเสี่ยงเรื่องหนี้สาธารณะในยุโรป ยังจะทำให้นักลงทุนนำเงินมาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น ทองคำมากขึ้น
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวราคาทองในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 1,480-1,980 เหรียญ/ออนซ์ แต่ทั้งนี้มองว่าราคาทองคำมีโอกาสปรับฐานช่วงไตรมาส 2/55 โดยราคามีโอกาสปรับตัวลงไปต่ำกว่าจุดต่ำสุดในปี 54 ที่ ระดับ 1,522 เหรียญ/ออนซ์
"ราคาทองคำในปีนี้อาจจะ swing รุนแรง เหมือนช่วงไตรมาส 3/54 ตามกระแสข่าวที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องหนี้ของยุโรป ซึ่งเป็นข่าวที่ค่อนข้างอ่อนไหว และอาจมีการปล่อยข่าวเพื่อเก็งกำไร ดังนั้นนักลงทุนต้องระวังและหาข้อมูลให้มาก"นายจิตติ กล่าวในการสัมมนา"‘ภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนของไทยปี 55"
ขณะที่ นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิวัจัยลูกค้าบุคคล บล. บัวหลวง (BLS) คาดว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีแรกจะเคลื่อนไหวในกรอบ 950-1,100 จุด โดยยังคงได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วม และการชะลอตัวของภาคการส่งออก แต่คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังภาพรวมการลงทุนจะปรับตัวดีขึ้น เศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดยคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีจะขึ้นไปทดสอบ 1,240 จุด
หุ้นกลุ่มที่น่าสนใจลงทุนในปีนี้ ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ เนื่องจากประมาณกำไร 2-3 ปีข้างหน้าจะเติบโตในระดับ 20% จากแรงหนุนค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้นและการเปิดสาขาใหม่ โดยหุ้นที่แนะนำ ได้แก่ MAKRO CPALL, กลุ่มอาหาร แนะนำ TUF CPF, กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี จะได้รับผลบวกหลังตัวเลขดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐ เยอรมนี จีนเริ่มออกมาดีขึ้น ขณะที่ราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมา discount จากตลาดไปค่อนข้างมาก ประกอบกับจ่ายปันผลดี จูงใจนักลงทุน
การจัดพอร์ตลงทุนปีนี้ แนะนำลงทุนในสินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้ที่มีรายได้แน่นอนจากดอกเบี้ยรับ 65% ส่วนที่เหลือ 35% กระจายการลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น ทองคำ 11% หุ้น 10% และน้ำมัน 9%
นายพงษ์พันธุ์ อมรวิวัฒน์ ผู้จัดการฝ่ายวางแผน พาณิชย์องค์กร บมจ.ไทยออยล์ (TOP) เปิดเผยว่า แนวโน้มราคาน้ำมันดิบในปี 55 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 54 โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดดูไบจะอยู่ในระดับเฉลี่ยที่ 108 เหรียญ/บาร์เรล จาก 106 เหรียญ/บาร์เรลในปีก่อน และราคาจะเคลื่อนไหวในกรอบ 100-115 เหรียญ/บาร์เรล
ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ คาดว่าราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 112 เหรียญ/บาร์เรล โดยจะเคลื่อนไหวในกรอบ 105-120 เหรียญ/บาร์เรล
ขณะที่ราคาน้ำมันหน้าสถานีบริการในประเทศคงจะแพงขึ้น จากการที่รัฐบาลกลับมาจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันและขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล
นายพงษ์พันธุ์ กล่าวถึงปัจจัยที่จะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวราคาน้ำมันปีนี้ว่า เป็นความขัดแย้งระหว่างชาติตะวันตกกับอิหร่าน หากเกิดสงครามจะทำให้ราคาน้ำมันเบรนท์ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 140 เหรียญ/บาร์เรล
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผุ้ช่วยผุ้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) มองภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกในปีนี้จะชะลอตัวลงและจะมีความผันผวน อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความเสี่ยงดังกล่าว นักลงทุนยังสามารถไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ได้
ในส่วนของประเทศไทยมีปัจจัยหนุน 3 เรื่อง ได้แก่ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงไตรมาส 1/55 เศรษฐกิจอาจจะยังชะลอตัวจากผลกระทบน้ำท่วม แต่ครึ่งปีหลังจะกลับมาเติบโตอย่างโดดเด่น หลังจากกระบวนการผลิตต่างๆ กลับสู่ภาวะปกติ และได้แรงหนุนจากนโยบายและเม็ดเงินการลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
รวมทั้งเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างตอ่เนื่อง ซึ่งจะส่งผลดีต่อประเทศคู่ค้าต่างๆ และเกิดการย้ายฐานการลงทุนเข้ามาในประเทศเกิดใหม่ ซึ่งในประเทศไทยนั้น แม้ว่าผู้ประกอบการหลายรายจะถูกน้ำท่วม แต่เชื่อว่าคงไม่ย้ายฐานการผลิตออกไปมากนัก เนื่องจากต้องใช้ต้นทุนสูง ขณะที่แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อไม่น่ากังวล เพราะเริ่มปรับตัวลดลง ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เชื่อว่าธนาคารแห่งประเททศไทย(ธปท.)จะคงไว้ที่ 3% จนถึงสิ้นปี