(เพิ่มเติม) ซิตี้แบงก์คาดศก.ไทยปี 55 โต 3% ผันผวนตามโลก,เป้าดัชนี SET สิ้นปี 1,275 จุด

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday February 14, 2012 13:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ซิตี้แบงก์ เปิดเผยในงาน 2012 Annual Outlook คาดเศรษฐกิจไทยปี 55 เติบโต 3% โดยมองภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนโลกในปีนี้ยังมีความผันผวน ขึ้นกับการแก้ไขปัญหาในยุโรป และทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐและจีน ซึ่งทั้งสองประเทศยังมีความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ เนื่องจากสหรัฐจะมีการเลือกตั้งใหม่ในช่วงปลายปี ขณะที่จีนจะมีการเปลี่ยนผู้นำประเทศ

พร้อมทั้ง มองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยจะเติบโตแบบรูปตัว V และมีโอกาสแกว่งตัวผันผวนต่อเนื่องจากปัจจัยความไม่แน่ใจในนโยบายของรัฐบาลประกอบกับความเชื่อมั่นภาคเอกชนที่ลดลง และการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ประเมินเป้าหมายดัชนีสิ้นปี 1,275 จุด

นายฮาเรน ชาห์ ผู้อำนวยการและนักกลยุทธ์การลงทุนอาวุโส บริการบริหารความมั่งคั่งซิตี้เอเชียแปซิฟิก เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนของโลกในปี 55 จะยังคงมีความผันผวน เนื่องจากยังคงถูกกดดันจากปัจจัยเดิมๆ ทั้งวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปที่ค่อนข้างมีความซับซ้อน ซึ่งขณะนี้หลายประเทศในยุโรปต้องการวงเงินกู้รอบใหม่เพื่อมาชำระหนี้ โดยที่ต้นทุนการกู้กลับปรับตัวสูงขึ้น ด้านธนาคารพาณิชย์ของยุโรปหลายแห่งก็จะต้องมีการเพิ่มทุนจำนวนมากหลังขาดทุนต่อเนื่องมานาน ทั้งนี้มองว่าความท้าทายในการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะของยุโรปอยู่ที่การกำหนดนโยบายในการแก้ปัญหาและความเสี่ยงในการนำนโยบายเหล่านั้นมาปฏิบัติ ซึ่งขณะนี้ธนาคารกลางยุโรปก็ยังไม่มีมาตรการที่เพียงพอในการช่วยเหลือประเทศต่างๆ

ทั้งนี้ ยังคงต้องติดตามทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯและจีน ซึ่งทั้งสองประเทศยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ เนื่องจากสหรัฐฯจะมีการเลือกตั้งใหม่ในช่วงปลายปี ขณะที่จีนก็จะมีการเปลี่ยนผู้นำประเทศ อย่างไรก็ตามประเมินว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้คงไม่ถดถอย ยกเว้นยุโรปที่คงชะลอตัวอาจมีโอกาสติดลบ ทั้งนี้คาดว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะขยายตัวที่ระดับ 3% บนพื้นฐานที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯและจีนจะกลับมาเติบโตอีกครั้ง

"ปัจจัยลบที่ผลต่อเนื่องมาถึงปี 55 คือความขัดแย้งกันระหว่างปัจจัยพื้นฐานและอารมณ์ของตลาดการเงิน เนื่องจากนักลงทุนให้ความสนใจกับข่าวในทางลบที่ดูน่ากังวลเกินไป แต่หากพิจารณาลงลึกไปที่ผลกำไรของบริษัท และตัวเลขทางเศรษฐกิจแล้ว ภาพรวมยังดูมั่นคง เห็นได้จากความเห็นของ IMF ต่อภาพรวมการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2554 และ 2555 ที่ยังเป็นบวก"นายชาห์ กล่าว

ด้านแนวโน้มเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคไม่รวมญี่ปุ่นในปีนี้คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 6.9% ลดลงจากปีก่อนที่ระดับ 7.3% เนื่องจากประเมินว่ามูลค่าการส่งออกจะลดลง โดยประเทศที่ต้องมีการพึ่งพาการค้า เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน เศรษฐกิจน่าจะเติบโตลดลง ขณะที่ประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีการเติบโตที่ดีกว่า อาทิเช่น ประเทศไทยที่มีแรงหนุนจากเม็ดเงินฟื้นฟูประเทศหลังเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะช่วยหนุนให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้เติบโตที่ระดับ 3% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ระดับ 1.7% ทั้งนี้ประเมินว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงไตรมาสที่ 4/55 หลังกำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมต่างๆน่าจะกลับสู่ระดับปกติและอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นของบริษัทต่างๆ ขณะที่ประเทศมาเลเซียและฟิลิปปินส์ ก็มีปัจจัยบวกจากงบประมาณด้านการคลัง ด้านอินโดนีเซียก็มีการปรับลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง

สำหรับแนวโน้มของตลาดหุ้นไทยในปีนี้ มองว่าจะเติบโตเป็นแบบรูปตัววี และมีโอกาสแกว่งตัวผันผวนต่อเนื่อง จากปัจจัยความไม่แน่ใจในนโยบายของรัฐบาล ความเชื่อมั่นภาคเอกชนที่ลดลง และการแข็งตัวของค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐ แต่ด้วยปัจจัยด้านการเติบโตที่แข็งแกร่งและเสถียรภาพทางการเงินที่มั่นคง ประกอบกับการพึ่งพาเงินทุนต่างประเทศในสัดส่วนที่ลดลง น่าจะเป็นตัวสนับสนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้นภายในช่วงสิ้นปี โดยคาดการณ์ดัชนีฯสิ้นปีไว้ที่ระดับ 1,275 จุด

"ปี 54 ถือเป็นปีที่ยากและเราไม่คิดว่า ปี 55 จะแตกต่างออกไป สิ่งที่สำคัญสำหรับนักลงทุน คือ ต้องกลับมามองพอร์ตการลงทุนของตัวเองและทำการปรับสมดุลให้เหมาะสมกับความผันผวน พร้อมทั้งต้องติดตามและคอยปรับสัดส่วนการกระจายสินทรัพย์ในพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินและกลับสู่ปัจจัยพื้นฐาน"นายชาห์ กล่าว

โดยพอร์ตการลงทุนในปีนี้แนะนำให้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้นซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนในตลาดได้ ซึ่งในส่วนของตลาดหุ้นมองว่าตลาดฮ่องกงยังน่าสนใจที่จะเข้าไปลงทุนในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ หลังจีนเริ่มที่จะผ่อนคลายนโยบายทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดพัฒนาแล้ว กลุ่มประเทศหลักของยุโรป โดยเฉพาะประเทศเยอรมนี ยังดูน่าสนใจและน่าจะได้ผลประโยชน์จากปริมาณอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา

สำหรับในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ มองว่าประเทศบราซิลจะได้รับผลประโยชน์จากการบริโภคภายในประเทศและระดับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ยังคงที่ในระดับสูง โดยทองคำถือเป็นสินค้าโภคภัฑณ์ที่ควรมีอยู่ในพอร์ต เนื่องจากประเมินว่าในระยะยาวราคาจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามอุปสงค์ที่มีมากขึ้น และทองคำถือเป็นสินทรัพย์ที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ประเมินว่าราคาทองคำเฉลี่ยในปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 1,710 เหรียญต่อออนซ์ อย่างไรก็ตามจากความผันผวนในตลาดควรที่จะมีการลงทุนในกองทุนป้องกันความเสี่ยง (Hedge Funds) ด้วย

"การลงทุนในตลาดหุ้นปีนี้ต้องเข้าเร็วออกเร็ว เพราะสถานการณ์ต่างๆมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยตลาดหุ้นเกิดใหม่ยังมีความน่าสนใจ อย่างตลาดหุ้นเอเชียแนะนำให้ลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียเหนือเช่น เกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง เนื่องจากปัจจุบันราคายังถูก ขณะที่ตลาดในกลุ่ม TIP ได้แก่ ไทย อินโนเซีย ฟิลิปปินส์ ปรับตัวขึ้นมาพอสมควรแล้ว แต่ถ้าในอนาคตมีการถูกขายทำกำไร ก็น่าสนใจที่จะเข้าไปซื้ออีกครั้ง"นายชาห์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ