นายอากัส มาร์ทิวาร์โดโจ รัฐมนตรีคลังของอินโดนีเซียกล่าวว่า รัฐบาลอินโดนีเซียกำลังติดตามสถานการณ์วิกฤติในยูโรโซนและความขัดแย้งทางการเมืองในอิหร่านที่อาจนำไปสู่การปิดช่องแคบฮอร์มุซอย่างใกล้ชิด เนื่องจากทั้งสองเหตุการณ์อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอินโดนีเซียอย่างรุนแรง
นายอากัสระบุว่า วิกฤติหนี้สินในยุโรปอาจส่งผลให้ยอดส่งออกของอินโดนีเซียลดลง เนื่องจากวิกฤติดังกล่าวได้บั่นทอนเศรษฐกิจของประเทศที่นำเข้าสินค้าจากอินโดนีเซีย
"วิกฤติหนี้สินที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปีที่แล้วยังไม่ได้ยุติลง และวิกฤติซึ่งมีต้นตอมาจากกรีซและอิตาลีมีโอกาสอย่างมากที่จะบั่นทอนเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ ทั่วโลก" เขากล่าว
ในขณะเดียวกัน ขุนคลังของอินโดนีเซียยังระบุว่า เหตุความไม่สงบที่ช่องแคบฮอร์มุซอาจทำให้การขนส่งน้ำมันจากประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางไปยังตลาดโลกต้องสะดุดลง ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นในที่สุด
นายอากัสกล่าวว่า ผลกระทบจากจากวิกฤติในยูโรโซนเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก และทำให้องค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ต่างก็ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ลง
องค์กรระหว่างประเทศได้เรียนรู้ว่า ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจของอินโดนีเซียจะมีความยืดหยุ่นในการรับมือกับวิกฤติ แต่อินโดนีเซีย ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็อาจจะได้รับผลกระทบที่ย่ำแย่จากวิกฤติในยูโรโซน
สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้องค์กรระหว่างประเทศปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ของอินโดนีเซียลง โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซียในปีนี้ลงสู่ 6.1% จากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 6.3% สำนักข่าวซินหัวรายงาน